คดีโกงบิตคอยน์ ตำรวจ-ก.ล.ต.สาวหลักฐาน”ปริญญา-ผู้กองธรรมมนัส”แจ้งซื้อ-ขายหุ้น DNA เมื่อ”ประสิทธิ์”พลิกมุม”เป็นผู้เสียหาย”

สืบเนื่องมาจากเมื่อ 17 ส.ค. 2561 ตำรวจกองปราบปรามได้ออกหมายเรียกผู้ที่เข้าข่ายกระทำความผิดหลอกลวงนายเออาร์นี โมตาวา ซาริมา ผู้เสียหายชาวฟินแลนด์ โดยร่วมกันวางแผนชักชวนให้ลงทุนประกอบธุรกิจซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลที่ชื่อ “ดรากอน คอยน์” โดยหลอกให้ซื้อหุ้นของบริษัทเอ็กซ์เปย์ ซอฟท์แวร์ จำกัด และหุ้นของบริษัทดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น DNA ทำให้ผู้เสียหายเกิดหลงเชื่อและร่วมลงทุนด้วยการโอนเหรียญบิตคอยน์ ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัล โดยมีการโอนเงินมูลค่า 797 ล้านบาท เข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของนายปริญญา เหตุเกิดเมื่อปี 2560 แต่เมื่อถึงเวลาที่ผู้เสียหายจะต้องได้รับเงินปันผลจากการลงทุนในครั้งนี้ กลับไม่มีวี่แววว่าจะได้เงินปันผลดังกล่าว มิหนำซ้ำยังถูกบ่ายเบี่ยงเสียอีก จึงทำให้ผู้เสียหายชาวฟินแลนด์ตัดสินใจเข้าแจ้งความทันทีกับตำรวจกองปราบฯ

ขณะที่ตำรวจได้ออกหมายเรียกทั้งหมด 8 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่มีพยานหลักฐานชัดเจน และแจ้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ ทั้งหมด 5 คน ได้แก่ นายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต, นายปริญญา จารวิจิต, นายธนสิทธิ์ จารวิจิต, นายชาคริส อาห์มัด และนายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ และกลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่เข้าข่ายกระทำความผิดในการฟอกเงิน ทั้งหมด 3 คน ได้แก่ นายสุวิทย์ จารวิจิต, นางเลิศฉัตรกมล จารวิจิต (พ่อและแม่ของนายปริญญา) และนายธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตนายทหาร โดยตำรวจฯกำหนดให้เข้ารับการสอบปากคำระหว่างวันที่ 27-29 ส.ค.นี้

และเมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2561 นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ อดีตผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) แอพเพิล เวลธ์ หนึ่งในผู้ที่เข้าข่ายกระทำความผิดในขบวนการโกงบิตคอยน์ได้ออกมาชี้แจงหลังถูกออกหมายเรียกในกรณีร่วมกันโกงบิตคอยน์

นายประสิทธิ์ยืนยันว่า ตนบริสุทธิ์และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโกงบิตคอยน์ของนายปริญญา และตนก็เป็นหนึ่งในผู้เสียหายจากคดีนี้ด้วย เนื่องจากตนเป็นเพียง deal maker ให้กับนายเออาร์นี แต่นายปริญญา ได้เอาเครดิตของตนไปอ้างกับนายเออาร์นี เพื่อให้โอนหุ้นเข้าบัญชีของนายปริญญาเอง จำนวนกว่า 500 ล้านหุ้น แต่ว่านายปริญญายังไม่ได้โอนเงินชำระค่าหุ้นดังกล่าวให้แก่นายเออาร์นีครบ จึงทำให้เกิดปากเสียงกัน

“เราต่างได้รับความเสียหายร่วมกัน คือ กลุ่มแรก นายเออาร์นีและแตงโม (นางสาวชนนิกานต์ แก้วกาสี แฟนสาวนายเออาร์นี) ส่วนกลุ่มสอง คือ ผม เสียหาย เพราะลูกค้าของผมโอนเข้านายปริญญาโดยใช้เครดิตจากตัวผม” นายประสิทธิ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุดังกล่าว ตนก็ได้รับคำแนะนำให้ขอความช่วยเหลือจากผู้กองธรรมนัส พรหมเผ่า เพื่อให้เป็นคนกลางเจรจากับนายปริญญา ขอให้โอนหุ้นของลูกค้ารายดังกล่าวกลับมาให้ตนเอง แต่นายปริญญากลับโอนหุ้นไปฝากไว้ที่ผู้กองธรรมนัสจำนวนกว่า 400 ล้านหุ้น แต่กลับปรากฏว่าหุ้นดังกล่าวไม่สามารถซื้อขายได้ เพราะติดล็อกจำนำอยู่ ขณะที่ผู้กองธรรมนัสบอกว่า หากเรื่องคลี่คลายจะทำการโอนหุ้นคืนไปยังลูกค้าเหมือนเดิม

ขณะที่เรื่องการโอนหุ้นบริษัทดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) จำนวน 345 ล้านหุ้น นายประสิทธิ์ยืนยันว่า ตนได้โอนหุ้นดีเอ็นเอ ให้นายเออาร์นีครบตามจำนวนแล้ว โดยแบ่งเป็นการโอนหุ้นดีเอ็นเอ 2 ครั้ง คือวันที่ 3 พ.ย. 60 โอนให้จำนวน 185 ล้านหุ้น ราคา 1.23 บาท คิดเป็นเงิน 227 ล้านบาท และวันที่ 17 พ.ย. 60 จำนวน 160 ล้านหุ้น ราคา 1.50 บาท คิดเป็นเงิน 240 ล้านบาท รวมทั้ง 2 ครั้งเป็นเงินจำนวน 467 ล้านบาท ซึ่งมีเอกสารการลงนามของผู้ซื้อและผู้ขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นายประสิทธิ์กล่าวยืนยัน ตนพร้อมจะให้ปากคำตลอดเวลาตามที่กองปราบปรามต้องการ

นายปริย เตชะมวลไววิทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและส่งเสริมความรู้ผู้ลงทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวถึง กรณีนายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ หนึ่งในผู้ที่เข้าข่ายกระทำความผิดในขบวนการโกงบิตคอยน์ ได้ออกมาแถลงข่าวเปิดเผยกี่ยวกับปัญหาการโอนหุ้นและการชำระเงินของนายปริญญา และการโอนหุ้นฝากไว้ผู้กองธรรมนัส พรหมเผ่า ขณะเดียวกัน มีการแจ้ง ก.ล.ต. เกี่ยวกับ นายปริญญา จำหน่ายหุ้น DNA จำนวนดังกล่าวออกมา และผู้กองธรรมนัส แจ้ง ก.ล.ต. ว่าได้รับหุ้นในจำนวนเดียวกัน ว่า ในกรณีเกี่ยวกับการโอนหุ้นข้างต้น ยังมีรายละเอียดที่ ก.ล.ต. จะต้องดำเนินการตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนก่อน

ทั้งนี้ ในการรายงานการถือหลักทรัพย์ กฎหมายหลักทรัพย์ระบุว่า เป็นหน้าที่ของเจ้าของหลักทรัพย์ จะต้องรายงานให้ตรงกับความเป็นจริง มิฉะนั้น อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายหลักทรัพย์ได้

“ส่วนกรณีคำถามที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของบุคคลตามข่าว ก.ล.ต. ต้องพิจารณารายละเอียดให้ชัดเจนก่อนเช่นกัน จึงจะสามารถชี้ได้ว่ามีส่วนใดที่เข้าข่ายการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์หรือไม่ ซึ่งกรณีนี้ ก.ล.ต.ได้มีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว” นายปริยกล่าว

จากคดีดังกล่าวที่เกิดขึ้นยังต้องจับตาดูหลักฐาน พยานต่างๆ และการให้ปากคำของผู้ที่เข้าข่ายกระทำความผิดคดีโกงบิตคอยน์ต่อไปว่า จะมีวิธีรับมือกันอย่างไร หลังจากที่นายประสิทธิ์ถือเป็นผู้ที่เข้าข่ายกระทำความผิดในคดีนี้ จะให้ปากคำกับตำรวจกองปราบฯอย่างไรเมื่อถึงเวลานั้น คงต้องติดตามกันต่อไป