บจ.ตลาดหุ้นไทย 554 หลักทรัพย์ โชว์กำไรครึ่งปีแรกกว่า5.5แสนล้าน

หลักทรัพย์จดทะเบียนไทยรายงานกำไรสุทธิครึ่งปีแรก 5.51 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.61% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน ระบุเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมียอดขายเติบโตดีตามภาวะเศรษฐกิจ-ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น

หลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานกำไรสุทธิครึ่งแรกปี 2561 รวม 5.51 แสนล้านบาท เติบโต 7.61% จากช่วงเดียวกันปีก่อน กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิเติบโตโดดเด่น คือ กลุ่มที่ได้อานิสงส์จากราคาน้ำมัน กลุ่มบริการโดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจในกลุ่ม Well-beingและกลุ่มธุรกิจการเงิน อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งหลังของปี 2561ราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่แน่นอนเป็นปัจจัยที่ควรให้ความระมัดระวังมากขึ้นในการบริหารกิจการ

นางสาวรุ่งทิพย์ เจริญวิสุทธิวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานการตลาดผู้ออกหลักทรัพย์ 2 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หลักทรัพย์จดทะเบียนใน SET จำนวน 554 หลักทรัพย์หรือคิดเป็น 95.18% จากทั้งหมด 582 หลักทรัพย์ (ไม่รวมหลักทรัพย์จดทะเบียนใน maiบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด หรือ NPG)นำส่งผลการดำเนินงานงวดครึ่งแรกปี 2561 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 พบว่าหลักทรัพย์ที่รายงานผลกำไรสุทธิมีจำนวน 459 หลักทรัพย์ คิดเป็น 83%ของหลักทรัพย์จดทะเบียนที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด สูงขึ้นเล็กน้อยจากค่าเฉลี่ยปี 2560 ที่ 82%

ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกปี 2561 หลักทรัพย์จดทะเบียนมียอดขายรวม 5,884,081 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.01% มีกำไรขั้นต้น 1,382,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.58% และมีกำไรสุทธิ 550,852 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.61%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ หลักทรัพย์จดทะเบียนมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 23.49% เพิ่มขึ้นจาก 23.16%ของช่วงเดียวกันในปีก่อน

“ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 หลักทรัพย์จดทะเบียนเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมียอดขายเติบโตดีตามภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบซึ่งปรับสูงขึ้นมากกว่า 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 70 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ยกเว้นในกลุ่มเกษตรและอาหารกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าและราคาผลผลิตทางการเกษตรที่ผันผวนในช่วงต้นปี

กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิโดดเด่นกลุ่มแรก คือกลุ่มที่ได้อานิสงส์จากราคาน้ำมัน ทั้งหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ กลุ่มที่สองคือกลุ่มบริการโดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจในกลุ่ม Well-being ที่ประเทศไทยมีศักยภาพการแข่งขันสูง ซึ่งรวมถึงหมวดพาณิชย์หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ และกลุ่มที่สามคือกลุ่มธุรกิจการเงินซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเติบโตตามการขยายสินเชื่อ ได้แก่หมวดธนาคาร และหมวดเงินทุนและหลักทรัพย์

อย่างไรก็ดีในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจไทยมีส่วนช่วยให้ยอดขายยังคงเติบโตได้ดี ขณะที่ทิศทางที่ไม่แน่นอนของราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยนอาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน ผู้ประกอบการจึงควรให้ความระมัดระวังในการบริหารกิจการมากขึ้น” นางสาวรุ่งทิพย์กล่าว

ในด้านฐานะการเงินของกิจการ ณ สิ้นไตรมาส 2/2561 พบว่าโครงสร้างเงินทุนของหลักทรัพย์จดทะเบียนยังคงแข็งแรง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) ทรงตัวเมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2560 ที่ 1.15 เท่า