ธปท.ชี้ครึ่งหลังแผ่วโต4.2% ส่งออกUSติดลบ-ท่องเที่ยวซมพิษเรือล่ม

ธปท.คาดเศรษฐกิจครึ่งปีหลังโตแผ่ว 4.2% ล่าสุดเดือน ก.ค. เริ่มมีสัญญาณชะลอ จากภาคส่งออกที่การส่งสินค้าไปสหรัฐติดลบครั้งแรกรอบ 21 เดือน ขณะที่การท่องเที่ยวเจอผลกระทบเรือล่มภูเก็ต แถมลงทุนเอกชนชะลอลงจากเดือนก่อน ด้านค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าเดือน ส.ค.หลัง ก.ค.อ่อนค่า

นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คาดว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังจะเติบโตในอัตราชะลอกว่าครึ่งปีแรกที่เติบโตได้ดี เนื่องจากฐานปีก่อนค่อนข้างสูง โดยน่าจะขยายตัวได้ 4.2% จากครึ่งปีแรกที่ขยายตัวได้ 4.8% ซึ่งทั้งปีจะขยายตัวได้ราว 4.5-4.7%

ล่าสุดในเดือน ก.ค. เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า แต่เติบโตชะลอลง เนื่องจากมูลค่าการส่งออกขยายตัวที่ 8.3% ชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่การส่งออกก็ยังเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ

ทั้งนี้ หลายหมวดสินค้ายังขยายตัวได้ดี แต่สินค้าหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า หดตัวจากการส่งออกไปสหรัฐอเมริกาจากผลกระทบการกีดกันทางการค้า ซึ่งเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 21 เดือน รวมถึงสินค้าเกษตรที่หดตัวในเชิงปริมาณ

นอกจากนี้ ในด้านการท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศขยายตัวชะลอลงที่ 2.8% โดยมีผลกระทบมาจากเหตุการณ์เรือนักท่องเที่ยวจีนล่มที่จังหวัดภูเก็ต แต่มองว่าเป็นผลกระทบระยะสั้น ซึ่งต้องรอติดตามเดือน ส.ค.ต่อไป

นายดอนกล่าวอีกว่า ส่วนการบริโภคภาคเอกชนในเดือน ก.ค. ขยายตัวที่ 4.7% เพิ่มจาก 3.7% ในเดือนก่อน โดยขยายตัวดีในทุกหมวด โดยเฉพาะหมวดสินค้าคงทน ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าชะลอตัวลง และการใช้จ่ายภาครัฐ ไม่รวมเงินโดนขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อน ทั้งรายจ่ายในส่วนของค่าตอบแทนบุคลากร และซื้อสินค้าบริการ และรายจ่ายเพื่อการลงทุนตามการเบิกจ่ายค่าก่อสร้างของกรมชลประทาน และการเบิกจ่ายเพื่อซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์

“การลงทุนภาคเอกชนเดือน ก.ค.ที่ขยายตัวลดลง ส่วนหนึ่งมาจากการนำเข้าสินค้าทุนลดลงมาก เนื่องจากที่ผ่านมา มีการนำเข้าเครื่องบินและแท่นขุดเจาะน้ำมัน ทำให้การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวลดลง แต่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังภาครัฐมีการเร่งโครงการลงทุนจำนวนมากน่าจะดึงให้การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นไปด้วย” นายดอนกล่าว

ส่วนด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 1.46% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่อยู่ที่ 1.38% ซึ่งมาจากปัจจัยราคาน้ำมันขายปลีกที่เพิ่มขึ้น

ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลงอยู่ที่ 1.1% จาก 4.1% ในเดือนก่อน ตามดุลการค้าที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าสูงกว่ามูลค่าการส่งออก

ส่วนในด้านสินทรัพย์เป็นการไหลออกสุทธิ จากการลงทุนในต่างประเทศ (TDI) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากยังมีดีลใหญ่ในต่างประเทศอยู่

ส่วนด้านหนี้สินเป็นการไหลออกของเงินทุน จากการขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติ และการชำระคืนสินเชื่อทางการค้าของผู้นำเข้ากับคู่ค้าในต่างประเทศ

นายดอนกล่าวด้วยว่า สำหรับค่าเงินบาทในเดือน ก.ค.อ่อนค่าลงจากปัจจัยภายนอกประเทศ เช่น วิกฤตตุรกี เป็นต้น แต่อ่อนค่าลงไม่มาก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพที่เข้มแข็ง ส่วนในเดือน ส.ค.ค่าเงินบาทเริ่มแข็งค่าขึ้น เนื่องจากเริ่มมีเงินทุนไหลกลับเข้ามา