ฝ่าภาวะหุ้นผันผวน ลงทุน T-SmartBeta

ยิ่งตลาดหุ้นผันผวนสูง โอกาสในการทำผลตอบแทนสูงก็มีมากเหมือนกัน หากสามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนได้ทันสถานการณ์ แต่หากยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถบริหารฝ่ามรสุมความผันผวนที่ขึ้นลงตามปัจจัยต่าง ๆ โดยเฉพาะจากต่างประเทศที่มักชี้นำตลาดก็สามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมได้

นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต เชื่อว่า หุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่สร้างโอกาสทำกำไรได้มากที่สุดในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้านี้และคาดว่าในปี 2562 ตลาดหุ้นไทยจะมีระดับ P/E (อัตราราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ) 14 เท่า ถือว่าน่าสนใจกว่าหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากปัจจัยภายในประเทศส่วนใหญ่มีทิศทางเป็นบวก ไม่ว่าจะเป็นทิศทางเศรษฐกิจ กำไรบริษัทจดทะเบียน สัญญาณความชัดเจนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปีหน้า

ธนชาตจึงได้ออกกองทุนรวม “T-SmartBeta” ซึ่งจะเน้นลงทุนในหุ้นไทยมากกว่า 30 บริษัท ที่คัดกรองมาจากทั้งหมด 150 แห่ง และจะเลือกลงทุนในหุ้น mid beta คือเป็นหุ้นที่มีค่าเบต้าระหว่าง 1-1.4 โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิกองทุน ซึ่งทดสอบแล้วว่าเป็นช่วงที่มีความคุ้มค่ามากที่สุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ม.ค. 57-ก.ค. 61) นอกจากนี้ยังเน้นลงทุนในหุ้น low beta หรือค่าเบต้าน้อยกว่า 1 ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะปรับสัดส่วนระหว่าง 2 ประเภทให้เหมาะสมกับสภาวะลงทุนในขณะนั้น

“หากตลาดขาลงควรเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้น low beta มากขึ้น 60% หรือในช่วงตลาดขาขึ้น ควรลงทุนในหุ้น mid beta มากกว่า 40%”

สำหรับกองทุนรวม “T-SmartBeta” มีมูลค่าโครงการราว 1 หมื่นล้านบาท จะเริ่มเปิดขายครั้งแรกวันที่ 5-11 ก.ย. 2561 นี้ โดยสามารถลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 50,000 บาท และครั้งถัดไปขั้นต่ำที่ 1,000 บาท ทั้งนี้ เก็บค่าธรรมเนียมการขายในอัตราพิเศษเพียง 0.25% (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) อย่างไรก็ตาม กองทุนนี้จะไม่สามารถขายหน่วยลงทุนในช่วง 1 ปีแรกได้ แต่หลังจากนั้นจะมีการเปิดขายอีก 4 รอบ และตั้งแต่ วันที่ 13 ก.ย. 62 เป็นต้นไป จะเปิดเป็นกองทุนเปิดปกติ

“เราคาดว่าจะเป็นกองทุนแรกของบริษัทที่จะทำกำไรจ่ายผู้ลงทุน 12 ครั้งต่อปี เนื่องจากเราใช้ค่าเบต้าในการวิเคราะห์ย้อนหลังเพียง 1 ปี”

ถามว่าหุ้นที่ลงทุนจะคุ้มค่าแค่ไหนนั้น ก็สามารถวัดดูได้ว่า ผลตอบแทนได้กลับมาสูงกว่าค่าความเสี่ยง