FETCO เผยดัชนีความเชื่อมั่นนลท. 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้น 1.24% เหตุ ศก.ไทยโตแข็งแกร่ง

FETCO เผยดัชนีความเชื่อมั่นเดือน ก.ย.61 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่สามติดต่อกัน อยู่ในโซนทรงตัวเป็นเดือนที่ห้า ด้านนักลงทุนเชื่อมั่นการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่นโยบายกีดกันทางการค้าและทิศทางเงินทุนไหลเข้าออกระหว่างประเทศฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนกันยายน 2561 ว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อยู่ในเกณฑ์ทรงตัว (Neutral) เป็นเดือนที่ห้าติดต่อกัน จากผลสำรวจนักลงทุนมีความเชื่อมั่นภาวะเศรษฐกิจในประเทศ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน เป็นตัวหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุน ขณะที่นักลงทุนกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าและการลงทุน และการไหลเข้าออกของเงินทุน เป็นตัวฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน”

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนกันยายน 2561 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

– ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (พฤศจิกายน 2561) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” (Neutral) (ช่วงค่าดัชนี 80 – 120) โดยเพิ่มขึ้น 1.24% อยู่ที่ระดับ 109.45

– ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศลดลงเล็กน้อยจากการสำรวจเดือนก่อน ยังคงอยู่ที่ Zone ร้อนแรง (Bullish)

– ดัชนีความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ และกลุ่มนักลงทุนรายบุคคลปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่นักลงทุนกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลง โดยทั้งสามกลุ่มแต่ยังคงอยู่ใน Zone ทรงตัว (Neutral)

– หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดธนาคาร (BANK) หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์ (MEDIAS)

– ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ภาวะเศรษฐกิจในประเทศ

– ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ

“ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ เดือนสิงหาคม มีการเคลื่อนไหวค่อนข้างทรงตัวในช่วงระหว่าง 1680-1720 จุด ภายหลังจากที่ดัชนีฟื้นตัวขึ้นช่วงเดือนกรกฎาคม โดยดัชนีฯช่วงปลายเดือนมาเคลื่อนไหวบริเวณ 1720 จุด จากแรงขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศที่ลดลงเป็นเดือนที่สามติดต่อกัน นับจากที่มียอดขายสุทธิสูงสุดในช่วงเดือนพฤษภาคม ตัวเลขเศรษฐกิจภายในประเทศที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ขยายตัวต่อเนื่องในไตรมาส 2 และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2 เป็นที่น่าพอใจ

นายไพบูลย์ กล่าวว่า ผลสำรวจชี้ว่าทิศทางการลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า นักลงทุนมีความเชื่อมั่นภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทย ทั้งนี้นักลงทุนยังคงเฝ้าติดตามทิศทางการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า ภายหลังจากที่มีนโยบายกีดกันทางการค้าและปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกัน ว่าจะมีทิศทางผ่อนคลายหรือมีทางออกในการเจรจาในลักษณะใด รวมถึงการประเมินผลกระทบที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ Emerging Market เช่นตุรกี อาร์เจนติน่า ที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีและค่าเงินที่ปรับตัวลดลงมาก โดยหากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศรุนแรงขึ้นจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง นอกจากนี้ ประเด็นหลักที่ต้องพิจารณาคือ ทิศทางนโยบายทางการเงินของสหรัฐที่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้จากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ ขณะที่เศรษฐกิจจีนและยุโรปส่งสัญญาณชะลอตัวลง ทิศทางนโยบายทางการเงินของธนาคารยุโรปที่มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยตลอดปีนี้ ทิศทางนโยบายทางเศรษฐกิจของจีนที่มีต่อสงครามทางการค้า รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่จะมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาค

ด้านนางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือนกันยายน 2561 พบว่า ผลจากดัชนีคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทรงตัวที่ระดับ 1.50% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี และ 10 ปี มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ปัจจัยหลักมาจากการคาดการณ์การขยายตัวที่ดีทางเศรษฐกิจของไทยและแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม กนง. รอบเดือนกันยายนนี้ อยู่ที่ระดับ 56 เป็นการปรับตัวสูงสุดในรอบปีที่ผ่านมา สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดว่า กนง. จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% ในการประชุมที่จะถึงนี้ โดยปัจจัยที่มีผลต่อการคาดการณ์ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของกลุ่ม Bond Dealers และกลุ่ม Fund Managers มีความแตกต่างกันใน 2 อันดับแรก โดยกลุ่ม Bond Dealers ให้น้ำหนักกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อเป็นหลัก ในขณะที่กลุ่ม Fund Managers ให้ความสำคัญกับ Fund Flow และทิศทางดอกเบี้ยในตลาดโลกมากกว่า

ดัชนีคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 ปี และ 10 ปี ในช่วงประชุม กนง. รอบเดือนพฤศจิกายน 2561 (ประมาณ 11 สัปดาห์ข้างหน้า) อยู่ที่ระดับ 94 และ 91 ตามลำดับ ซึ่งดัชนีคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 ปี ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 93 ในขณะที่รุ่นอายุ 10 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากจาก 87 โดยดัชนีทั้งสองยังอยู่ในระดับที่สะท้อนถึงทิศทางการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั้ง 5 ปี และ 10 ปี ซึ่งกลุ่ม Bond Dealers และกลุ่ม Fund Managers ให้ความสำคัญกับปัจจัยต่างๆ คล้ายคลึงกัน โดยปัจจัยที่ให้ความสำคัญมากที่สุดในขณะนี้ คือ อุปสงค์และอุปทานในตลาดตราสารหนี้ ส่วนปัจจัยที่ให้ความสำคัญรองลงมา ได้แก่ Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลก