เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2561 เวลา 16.00 น. สุปรีชา ลิมปิกาญจนโกวิท ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ได้กล่าวในงานสัมมนาและนิทรรศการนานาชาติ “Digital Thailand Big Bang 2018: Thailand Big Data” ภายใต้หัวข้อ “Digital Service and Banking Industry in Thailand” ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ว่าในปัจจุบันเทคโนโลยีทางด้านดิจิทัลกำลังมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีผลทำให้ธุรกิจต้องมีการเปลี่ยนแปลงด้วย โดยผลที่จะทำให้ธุรกิจต้องเปลี่ยนจะเริ่มด้วย 2 มิติด้วยกัน คือ Increase เริ่มจาก Digital adoption, Digital Literacy, Customer expectation คือคนเรียนรู้ในเรื่องของดิจิทัลมากขึ้นแล้วนำมาใช้มากขึ้น จึงทำให้คนเปลี่ยนแปลงความคาดหวังจากการใช้สินค้าและบริการต่าง ๆ เพราะลูกค้ายุคใหม่มีการใช้อินเทอร์เน็ตและ Improve ในส่วนของปัญญาประดิษฐ์ (AI), Big Data ก็มาเปลี่ยน User Experience, Efficiency, Transparency
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้จากแนวโน้มทั่วโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะธนาคารในบ้านเราที่มีการเปลี่ยนแปลง Business model จากการเปิดธนาคารเป็นสาขาย่อย ๆ เพื่อให้คนเข้าไปฝาก-ถอนเงิน กลายมาเป็น Digital Life Platform ที่ทำให้ลูกค้าสามารถใช้งานธนาคารได้จากที่บ้าน และยังสามารถใช้ในด้านอื่นนอกจากธนาคารได้อีกด้วย เช่น การซื้อของ หรือการสั่งอาหาร เป็นต้น โดยจะเกี่ยวข้องกับ Banking Application ทั้งหมด
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- ตรวจหวย ใบตรวจหวย ผลรางวัล สลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน 2567
- ราคาทองวันนี้ (17 เม.ย. 67) พุ่งขึ้น 250 บาท รูปพรรณขายออก 41,950 บาท
สุปรีชา กล่าวต่อว่า ในอุตสาหกรรมธนาคารเองก็มีการปรับตัวมากขึ้นเพื่อที่จะต่อสู้กับดิสรัปชั่นเช่นกัน โดยใช้โครงการ Thailand National E-Payment ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 5 โปรเจค โครงการที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของ PromptPay ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของการชำระเงินของประเทศไทย เพื่อเป็นการรองรับให้ไปสู่อนาคตในอีก 5 ถึง 10 ปีข้างหน้า โดยการบริการการโอนเงิน ทั้งในส่วนของบุคคลหรือในภาคธุรกิจ หรือในเรื่องของการจ่ายเงินที่จะสะดวกมากขึ้น โดยจะเปลี่ยนเป็น QR Payment ที่ลูกค้าสามารถเดินไปซื้อสินค้าร้านไหนก็ได้โดยไม่ต้องพกเงินสด เพียงแค่ยิง QR Payment ก็พอ ซึ่งในส่วนนี้จะทำให้ประเทศเข้าสู่สังคมไร้เงินสดได้ และนอกจากนี้ในส่วนของการเรียกเก็บเงิน ผู้ค้ายังสามารถส่งใบเรียกเก็บเงินเป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์ไปเก็บเงินกับลูกค้าได้ ซึ่งการใช้ QR Payment เป็นการใช้ต้นทุนที่ต่ำมาก ใช้ต้นทุนอยู่ที่ประมาณใบละ 2 บาท ซึ่งระบบการวางบิลโดยใช้กระดาษ หรือการรับเช็คกำลังจะหมดไปจากประเทศไทย
“กสิกรไทยของเราไม่ใช่เทคโนโลยีคอมพานี ไม่ใช่บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล แต่เรานำเอาเทคโนโลยีมาร่วมพัฒนากับสิ่งที่เรามีอยู่ และในขณะเดียวกันนี้ เรายังต้องการดิจิทัลพาร์ทเนอร์อีกจำนวนมาก เราไม่เกี่ยงว่าคุณจะเป็นสตาร์ตอัพ ซึ่งเราเป็นเสมือนสะพานที่เชื่อมดิจิทัลพาร์ทเนอร์ โดยการที่ช่วยให้เขาเอาวิธีการแก้ปัญหาที่เขามีอยู่ไปช่วยแก้ปัญหาจริง ๆ ให้กับลูกค้าของเรา และ ช่วยให้เขาเอาสมมุติฐานบางอย่าง เกี่ยวกับว่าสินค้าของเขาจะขายได้ไหมไปทดลองกับโจทย์จริง ๆ ที่เราพบว่าลูกค้าของเรากำลังประสบปัญหาอยู่ และถ้ามันตอบโจทย์ได้ ก็แสดงว่าสตาร์ตอัพคนนี้สามารถไปต่อได้ และสตาร์ตอัพคนนี้สามารถผลิตสินค้าและบริการที่เป็นดิจิทัลที่ไม่ใช่ขายให้เฉพาะลูกค้ากสิกร แต่สามารถทำให้กับทุก ๆ คนได้” สุปรีชา กล่าว