กนง.มีมติเอกฉันท์คงดอกเบี้ย 1.50% สั่งจับตาค่าเงินบาทใกล้ชิด-หนี้เสียเอสเอ็มอีพุ่ง

กนง.ประกาศคงดอกเบี้ยที่ 1.50% หลังเศรษฐกิจมีทิศทางดีขึ้น ส่งซิกเงินเฟ้อขึ้นช้าหมดสิทธิแตะกรอบล่างสิ้นปีนี้ แนะติดตามเงินบาทใกล้ชิดเหตุแข็งค่ากว่าภูมิภาค หลังเงินไหลเข้า ขณะที่หนี้เสียเอสเอ็มอียังพุ่งไม่หยุด

นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.กล่าวในการแถลงผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินวันที่ 16 ส.ค. โดย กนง.มีมติเอกฉันท์ให้คงดอกเบี้ยที่ 1.50% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวชัดเจนต่อเนื่องจากการส่งออก ขณะที่อุปสงค์ในประเทศยังขยายตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป

ขณะที่เงินเฟ้อทิศทางยังมีการชะลอตัวกว่าที่ประเมินไว้จากเดิมเล็กน้อย จากราคาอาหารสดที่ปรับลดลงตามราคาผักผลไม้ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากภาวะภัยแล้งปีก่อน ทำให้โอกาสที่เงินเฟ้อจะเข้าสู่กรอบล่างที่ 1% ไปเป็นได้ยากขึ้นในช่วงสิ้นปีนี้

“เดิมคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเข้ากรอบที่ 1-4% และแตะกรอบล่างสิ้นปีนี้ แต่การประเมินล่าสุดเงินเฟ้อขยายตัวช้ากว่าที่คาด ทำให้การขึ้นสู่กรอบล่างที่ 1% ยาวกว่าสิ้นปี และอาจไปเห็นปี 2561 แทน ซึ่งในการประชุมกนง.รอบหน้าก็จะมีการปรับภาพเงินเฟ้อ รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยทุกตัวด้วย”

อย่างไรก็ตามการประชุม กนง.รอบนี้ สิ่งที่คณะกรรมการกังวล และให้ติดตามใกล้ชิดมากขึ้น คือค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้น จากเงินไหลเข้าที่เข้ามาเก็งกำไรระยะสั้นทั้งในตลาดบอนด์ และตลาดเงิน หลังค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า ดังนั้นการแข็งค่าของค่าเงินบาทจึงอาจกระทบต่อภาคธุรกิจโดยเฉพาะภาคส่งออกที่ไม่ได้มีการป้องกันความเสี่ยงได้

นอกจากนี้ กนง.ยังแนะให้ติดตามความเสี่ยงในบางจุด โดยเฉพาะพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นในภาวะดอกเบี้ยต่ำ และยังต้องติดตามความเสี่ยงจากความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีแนวโน้มเกิดหนี้เสียเพิ่มขึ้น

นายจาตุรงค์ยังกล่าวอีกว่า จากการประเมินผลกระทบน้ำท่วมอีสานรอบนี้ กนง.มีการประเมินความเสียหายอยู่ที่ 7.5 พันล้านบาท แต่หากเทียบสัดส่วนต่อจีดีพีถือว่าผลกระทบมีสัดส่วนน้อย