ต่างชาติโหมซื้อบอนด์ไม่เลิก กสิกรชี้ยอดสิ้นปีทะลุ 1 ล้านล้าน

โบรกฯกสิกรไทย ชี้เงินต่างชาติไหลทะลักเข้าบอนด์ไทย เลือกถือบอนด์สั้นมากกว่ายาว ดันยอดถือสูงเป็นประวัติการณ์ คาดสิ้นปีแตะ 1 ล้านล้านบาท วิกฤตตลาดเกิดใหม่ หนุนไทยเป็นหลุมหลบภัย เงินบาทอ่อนค่าน้อยกว่ากลุ่มประเทศเกิดใหม่ ส่องตลาดหุ้นมั่นใจสภาพคล่องในประเทศเอาอยู่ นักลงทุนไทยซื้อสวนทิศต่างชาติขาย

นายธิติ ตันติกุลานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติก็ยังเข้ามาถือพันธบัตร (บอนด์) ไทยจำนวนมาก ทำให้ล่าสุด ยอดถือครองบอนด์ของนักลงทุนต่างชาติอยู่ที่ราว 9.5 แสนล้านบาท ถือว่ามากที่สุดในประวัติการณ์ และคาดว่าสิ้นปีนี้จะถือครองบอนด์ไทยแตะ 1 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ ปัจจัยหลักมาจากวิกฤตตลาดเกิดใหม่ (EM) ทำให้นักลงทุนต่างชาติโยกย้ายเงินออกจากตลาดเกิดใหม่ที่เสี่ยง เข้ามาลงทุนบอนด์ไทยเพิ่มมากขึ้นแทน เนื่องจากไทยมีเสถียรภาพด้านต่างประเทศ อาทิ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค ซึ่งผลจากการเกินดุลดังกล่าว ทำให้แนวโน้มค่าเงินบาทไม่อ่อนค่าสูงนัก แต่ตลาดเกิดใหม่ค่าเงินอ่อนเฉลี่ย 5%

ทั้งนี้ นับตั้งแต่เดือน ม.ค.-ส.ค. 2561 ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 17% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ปีที่แล้วเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ที่ 5.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงที่สุดในประวัติศาสตร์

“นักลงทุนต่างชาติมีความต้องการลงทุนอยู่แล้ว แต่จะเลือกลงทุนในประเทศที่ปลอดภัย (safe heaven) ประกอบกับเงินเฟ้อที่อยู่ระดับต่ำด้วย นอกจากนี้แม้ว่าสหรัฐจะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้ว แต่ก็ยังมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต่างชาติได้เข้ามาถือทั้งบอนด์สั้นและบอนด์ยาว แต่มีสัดส่วนถือบอนด์สั้นมากกว่า แต่ที่น่าสนใจคือวิกฤตตลาดเกิดใหม่ กระแสเงินไหลออกจากหลายประเทศ เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย แต่ไทยกลับมีเงินไหลเข้าต่อเนื่อง ต่างจากอดีตที่เงินจะไหลออกจากเอเชียไปด้วยกันหมด”

นายธิติกล่าวว่า ปัจจัยที่ติดตามต่อไปคือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐในปลายปีนี้และปีหน้า จะทำให้มีโอกาสที่กระแสเงินจะไหลกลับไปสหรัฐ เพราะส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐจะกว้างมากขึ้น

“ปีหน้าดอกเบี้ยสหรัฐก็ใกล้ 3% ดังนั้นส่วนต่าง(ดอกเบี้ย)ไทยมีแน่ โอกาสเงินไหลออกก็มี แต่บังเอิญปีนี้เป็น safe heaven ก็ไม่รู้จะอยู่นานแค่ไหน ถึงแม้ว่าจะมีเงินไหลออก แต่ดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุลอยู่ค่อนข้างเยอะ ดังนั้นโอกาสที่ค่าเงินบาทคงจะค่อย ๆ อ่อน หรืออ่อนน้อย ๆ” นายธิติกล่าว

ด้านการลงทุนในตลาดหุ้นไทยต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) นายธิติกล่าวว่า เนื่องจากสภาพคล่องทางการเงินในไทยยังมีจำนวนมาก โดยนักลงทุนรายย่อยและสถาบันยังซื้อสุทธิอยู่ แม้ว่าต่างประเทศจะขายราว 2.08 แสนล้านบาทตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน แต่ถือว่าไม่มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่มีแรงขายกัน

ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยขณะนี้ก็ยังอยู่ที่ระดับเดิมเทียบกับเมื่อต้นปีนี้ ส่วนจีนลดลง 15% สิงคโปร์ -4.8% เกาหลี -5.2% ฮ่องกง -7% อินโดนีเซีย -7.3% ส่วนประเทศที่หุ้นขึ้น ได้แก่ ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 5.6% ไต้หวัน +3.1% อินเดีย +7%