เครือข่ายสุขภาพภาคประชาชน บุก ก.คลัง ค้านแก้ไข พ.ร.บ.สสส. เหตุรวบอำนาจเหนือบอร์ดกองทุน

เครือข่ายสุขภาพภาคประชาชนกว่า 100 ชีวิต บุกกระทรวงการคลัง คัดค้านการแก้ไข พ.ร.บ.สสส. ซุกปีกคลัง รวบอำนาจเหนือบอร์ดกองทุน ถอยหลังกลับไปอยู่ใต้ระบบราชการ จี้หยุดเดินหน้า หยุดอ้างบัญชานายกตัดตอนภาคประชาชนด้านสุขภาพ

วันนี้ 11ต.ค. บริเวณด้านหน้ากระทรวงการคลัง นายคำรณ ชูเดชา ผู้ประสานงานขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน (ขสช.) นำตัวแทนเครือข่ายสุขภาพจาก 4 ภาค ประกอบด้วยกลุ่มองค์กร ภาคประชาชนที่ทำงานด้านเด็ก เยาวชน ครอบครัว สตรี คนพิการ ผู้สูงอายุ แรงงานนอกระบบ ผู้บริโภค คนจนเมืองและชนบท กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มเกษตร ความมั่นคงทางอาหาร ฯลฯ กว่า 100 คน ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อแสดงจุดยืนคัดค้านการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ กฎหมายสสส. ที่ริดรอนความเข้มแข็งของภาคประชาชนด้านสุขภาพและยังเป็นการรวบอำนาจจากกรรมการบริหารกองทุน โดยต้องมาผ่านความเห็นชอบของกระทรวงการคลังพร้อมเรียกร้องให้ยุติการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ หยุดการอ้างคำสั่งนายกฯ

นายคำรณ ชูเดชา ผู้ประสานงานขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน (ขสช.) เปิดเผยว่า การรวมตัวของเครือข่ายสุขภาพครั้งนี้ เพื่อต้องการแสดงจุดยืนร่วมกันในการคัดค้านแก้ไขร่าง พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ กฎหมายสสส. เนื่องจากพบว่า กระทรวงการคลังและกระทรวงสาธารณสุข มีความพยายามแก้ไข พ.ร.บ. สสส. โดยสาระสำคัญในการแก้ไขกฎหมายขัดแย้งกับเจตนารมณ์ในการก่อเกิด สสส.อย่างสิ้นเชิง และยังเป็นการรวบอำนาจในการทำงาน ส่งผลกระทบให้การทำงานของ สสส.ขาดความเป็นอิสระ

“หากการแก้ไข พ.ร.บ. สสส. เป็นผลสำเร็จแล้ว ในกฎหมายใหม่ได้ระบุว่า การดำเนินงานของกองทุนจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขและข้อกำหนดที่ต้องผ่านความเห็นชอบของกระทรวงการคลังก่อน และยิ่งไปกว่านั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะเป็นผู้มีอำนาจในการทบทวนวงเงินงบประมาณกองทุนตามอัตราเงินเฟ้อทุกๆ 2 ปี เป็นตรรกะที่แปลกประหลาดมาก ที่ระดับการตัดสินใจของบอร์ด ซึ่งนายกเป็นประธานและมีผู้แทนของกระทรวงการคลังอยู่ในบอร์ดนี้ด้วย แต่ยังต้องนำเรื่องมาขอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังอีก” นายคำรณ กล่าว

นายคำรณ กล่าวต่อว่า ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับ สสส.เมื่อระบบราชการเข้ามาครอบงำ คือ ขาดความเป็นอิสระและขาดความคล่องตัวต่อการแก้ไขปัญหาสุขภาพที่ปัจจุบันมีความซับซ้อนและต้องการความรวดเร็วในการทำงานและในการจำกัดวงเงินเท่ากับควบคุมการทำงานสร้างเสริมสุขภาพตามหลักการสร้างนำซ่อม ถูกทำให้เล็กลง เสมือนตัดแขนตัดขาทำให้แคระแกรน ทำให้มีผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษามากขึ้นโดยไม่จำเป็นและกลุ่มคนที่จะได้รับผลประโยชน์มากที่สุดจากการแก้ไขในกฎหมายครั้งนี้ คือกลุ่มทุนผลิตภัณฑ์สินค้าและสารเคมีอันตรายที่ทำลายสุขภาพทั้งสิ้น

ทั้งนี้เครือข่ายขอแสดงจุดยืนและมีข้อเรียกร้องต่อกระทรวงการคลัง เพื่อนำไปพิจารณาดังต่อไปนี้ 1.ขอให้ยุติการแก้ไขพ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ.2544 เพราะร่างกฎหมายใหม่ไม่เห็นว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นแต่อย่างใด ซ้ำร้ายยังถอยหลังไปไกลทั้งในประเด็นการจำกัดเพดานวงเงินการรวบอำนาจกรรมการบอร์ดกองทุน สสส. ให้ต้องมาผ่านความเห็นชอบของกระทรวงการคลังเป็นการแก้ไขที่ขัดกับเจตนารมณ์ในการก่อเกิด สสส.ที่ต้องการลดช่องว่าง ลดอุปสรรคที่ระบบราชการเข้าไม่ถึงประชาชนในการสร้างเสริมสุขภาพ ก่อนที่จะเจ็บป่วยและเข้าสู่การบำบัดรักษา 2.การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ขัดแย้งกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศอย่างสิ้นเชิงในแทบทุกมิติ ทั้งในการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน การสร้างความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันทางสังคม การเสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันทางสังคมและทุนทางวัฒนธรรมและความเข้มแข็งของชุมชน ซึ่งการปฏิรูปประเทศในทุกมิติดังกล่าวต้องก้าวหน้าขึ้น ไม่ใช่ถอยหลังกลับไปสู่ความล้าสมัย และเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการสร้างเสริมสุขภาพตามวัตถุประสงค์ของกองทุน สสส.


3.ขอให้ยุติการกล่าวอ้างว่าการแก้ไขพ.ร.บ.สสส.เป็น บัญชานายก เพราะตั้งแต่ปี 58 ที่มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) เข้ามาตรวจสอบการทำงานของสสส.พบว่าปัจจุบันได้มีการปรับปรุงแก้ไขระเบียบการดำเนินงานต่างๆของกองทุนไปแล้วถึง 19 ฉบับ การดำเนินงานเรื่องภาษีที่มีปัญหาบางส่วนก็ได้ข้อยุติจากกรมสรรพากรชัดเจน ตลอดจนมีคำสั่ง คสช.ที่ 70/2559 ยกเลิกคตร.แล้ว ในขณะเดียวกันสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้ประเมินองค์กรของรัฐในเรื่องความโปร่งใส ความพร้อมรับผิด ความปลอดจากการทุจริตในการปฏิบัติงาน วัฒนธรรมคุณธรรมในองค์กร และคุณธรรมการทำงานในหน่วยงาน พบว่า สสส.เป็นหนึ่งในองค์กรที่มีผลคะแนนสูงมาก ถึง 81.41 คะแนน และได้รับประกาศนียบัตรเชิดชูเกียรติจากนายกรัฐมนตรีการแก้ไขพ.ร.บ.สสส. จึงขาดความชอบธรรมโดยสิ้นเชิงที่จะเดินหน้าต่อไป