“ทองคำ” กลับมาเป็นขาขึ้น จับตาการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ

ราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา เคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ ก่อนที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นแรงระดับสูงสุดในรอบ 10 สัปดาห์ ทะลุแนวต้าน 1,212 ดอลลาร์/ออนซ์ ในขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยหนุนมาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ยืดเยื้อ หลังจากมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐและจีนมีผลบังคับใช้ รวมถึงไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาการค้า ทั้งนี้ ในช่วงนี้จีนก็จะยังไม่เจรจากับสหรัฐ จนกว่าถึงการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ ซึ่งส่อแววว่าจีนจะเข้าไปแทรกแซงการเลือกตั้งกลางเทอมหรือไม่

นอกจากนี้ การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐยังได้รับปัจจัยหนุนจากการที่สหรัฐได้บรรลุข้อตกลงการค้าฉบับใหม่กับเม็กซิโก และแคนาดา เศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่ง การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐประเภทอายุ 10 ปี ปรับตัวสูงขึ้นระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี รวมถึงสถานการณ์ในอิตาลีที่มีการเพิ่มเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณในปี 2562

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราคาทองคำจะมีแรงขายออกมา แต่ก็ยังมีแรงซื้อเข้ามาต่อเนื่องจากความคลายวิตกกังวลในสงครามการค้าเป็นระยะ ๆ ส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาอ่อนค่าลง ช่วยหนุนราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้น และแรงเทขายตลาดหุ้นทั่วโลก

แม้ว่าผู้นำสหรัฐจะมีความเชื่อมั่นและมั่นใจในความสำเร็จของผลงานที่ผ่านมาหลังจากที่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐก็ตาม แต่ผลวิเคราะห์คะแนนความนิยมล่าสุดของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และพรรครีพับลิกัน สะท้อนถึงความนิยมที่ลดต่ำลง ซึ่งชี้ชะตาผลการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพฤศจิกายน จะไม่ใช่เรื่องสภาพเศรษฐกิจสหรัฐ หรือตัวเลขการสร้างงานที่กำลังดีขึ้น แต่จะเป็น “ความเห็นของชาวอเมริกัน” ที่มีต่อประธานาธิบดีเอง

โดยผลสำรวจของ Quinnipiac University ระบุว่า ชาวอเมริกัน 70% มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐขณะนี้อยู่ในสภาพที่ “ดีมาก” หรือ “ดี” ซึ่งเท่ากับสถิติสูงสุดที่เคยทำสำรวจมา แต่ผลการสำรวจดังกล่าวยังพบว่า ระดับความพึงพอใจในผลงานของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะประธานาธิบดี มีเพียง 38% ในเดือนสิงหาคม ในขณะที่ 54% ไม่สนับสนุนผู้นำสหรัฐคนนี้ ซึ่งผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ รวมทั้งพวกที่นิยมพรรครีพับลิกันจำนวนไม่น้อย มีความเห็นที่ไม่ค่อยจะดีนักในตัวประธานาธิบดีสหรัฐ

นอกจากนี้ สงครามการค้าที่ยืดเยื้อเป็นประเด็นที่นักลงทุนต่างมีความวิตกกังวลนั้น อาจทำลายความเชื่อมั่นในตัวประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ โดยดูเหมือนว่าที่ผ่านมา จีนจะเล็งเป้าไปที่สินค้าเกษตรของสหรัฐในการตอบโต้ภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เพราะผู้ที่สนับสนุนส่วนใหญ่ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ในปี 2559 มาจากรัฐที่เน้นทำการเกษตรทางตอนกลางของประเทศ ถึงแม้ว่ารัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะจัดสรรเงินงบประมาณอุดหนุน 12,000 ล้านดอลลาร์ มาช่วยเกษตรกรสหรัฐที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน สหภาพยุโรป และประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ก็ตาม แต่งบประมาณดังกล่าวเป็นเพียงระยะสั้นและชั่วคราวเท่านั้น

ทั้งนี้ ผู้นำพรรครีพับลิกันต่างก็เริ่มกังวลว่า กระแสความรู้สึกที่คึกคักของทางฝั่งพรรคเดโมแครต รวมทั้งความเบื่อหน่ายไม่พอใจของสมาชิกพรรครีพับลิกันที่มีแนวคิดสายกลางในประธานาธิบดี จะทำให้พรรครัฐบาลไม่สามารถครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรต่อไปได้ โดยแนวโน้มคะแนนเสียงของผู้สมัครในพรรครัฐบาลในรัฐมิสซูรี และรัฐอินเดียนา ที่คนส่วนใหญ่มีแนวคิดแบบอนุรักษนิยมกำลังลดลงมาก

ในขณะที่คะแนนในรัฐเทนเนสซี และรัฐเทกซัส ซึ่งพรรครีพับลิกันเคยมีเสียงสนับสนุนอย่างมากมาโดยตลอด กำลังจะเปลี่ยนมาเป็นแนวโน้มคะแนนเสียงที่สูสีใกล้เคียง

ซึ่งการเลือกตั้งกลางเทอมที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ จึงเป็นตัวชี้ชะตาที่สำคัญของการผลักดันกฎหมายต่าง ๆ ของรัฐบาลสหรัฐ และตัวประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เสียเอง โดยอาจนำไปสู่การเกี่ยวพันกับกฎหมาย impeachment ด้วยเช่นกัน หากพรรคเดโมแครตได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งกลางเทอม โอกาสที่พรรคเดโมแครตจะใช้คดีรัสเซียเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้ง

ประธานาธิบดี ในปี 2559 นั้นมาเป็นตัวผลักดันกฎหมาย impeachment คงเป็นไปได้แน่นอน โดยเมื่อปีที่แล้ว สมาชิกสภาคองเกรสจำนวน 58 ราย ได้สนับสนุนคำร้องของนายอัล กรีน ส.ส.จากพรรคเดโมแครต ที่เสนอให้ถอดประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่งมาแล้วครั้งหนึ่ง

การเลือกตั้งกลางเทอมครั้งนี้จึงเป็นตัวชี้ชะตาการเมืองสหรัฐที่กำลังเข้มข้นขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากพรรครีพับลิกันไม่สามารถครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรสได้นั้น ประเด็นการเมืองสหรัฐอาจจะทำให้มีแรงซื้อทองคำเข้ามา

ดังนั้น หากราคาทองคำปรับตัวลดลงมาบริเวณแนวรับ 1,180-1,190 ดอลลาร์/ออนซ์ สามารถเข้าซื้อทองคำได้ ซึ่งราคาทองคำมีแนวต้าน 1,250 และ 1,260 ดอลลาร์/ออนซ์