ราคาน้ำมันกดดันดัชนีฯ ยืนแดนลบตลอดวัน

นายพบชัย ภัทราวิชญ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย “บล.เอเซีย พลัส” เปิดเผยภาวะตลาดหุ้นไทยวันที่ 14 พ.ย.61 ได้รับ Sentiment เชิงลบจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังมีการปรับลดลงเมื่อวานนี้ รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับลงแรงราว 6-7% เป็นปัจจัยกดดันตลาดวันนี้ ทำให้ดัชนีฯ มีการเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน กลุ่มที่กดดันตลาดในวันนี้ ได้แก่ กลุ่มพลังงานที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากราคาน้ำมันโลกปรับลงอย่าง PTT PTTEP และ PTTGC กลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มธนาคารพาณิชย์

ด้านปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อตลาดยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยลบเดิมที่กดดันตลาด ได้แก่ ความกังวลต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) โดยคาดว่าจะปรับขึ้นอีกครั้งในปลายปีนี้ อย่างไรก็ตามตลาดรับรู้ปัจจัยลบดังกล่าวไปมากแล้วในช่วงที่ผ่านมา แม้จะเป็นปัจจัยเดิม แต่เกิดแรงกดดันตลาดเมื่อมีการยกมาพูดอีกครั้ง ส่วนความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะชะลอตัวลงในปี 2562 รวมถึงข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน การเจรจาการค้าระหว่างสองประเทศที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ และปัจจัยราคาน้ำมันที่ปรับลงต่อเนื่อง เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ยังต้องจับตามอง ด้านปัจจัยบวกคาดว่าประเด็น Brexit จะจบลงได้ค่อนข้างดี แต่ยังไม่ใช้ปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดเท่าไหร่

โดยมองว่านักลงทุนทยอยลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น จากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับลงในวันนี้ จากความผันผวนของตลาดหุ้น ทำให้นักลงทุนหันมาซื้อพันธบัตรที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมากกว่าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น

ส่วนแนวโน้มในวันพรุ่งนี้ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ ที่ 1,645-1,665 จุด โดยคาดว่าการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ ในวันพรุ่งนี้จะเป็นการแกว่ง Sideway ข้าง จากที่ไม่มีปัจจัยหนุนใหม่ นักลงทุนไม่กล้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง และมูลค่าของตลาดไม่สามารถดันดัชนีฯ ขึ้นไปได้ อย่างไรก็ตามมองว่าปัจจุบันแม้ Upside ตลาดจะมีไม่มาก แต่ Downside Risk ก็มีไม่มากเช่นกัน

ส่วนกลยุทธ์การลงทุน จากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3/61 ที่ผ่านมาทยอยประกาศออกมาหมดแล้ว จึงเชื่อว่าการ Sell on Fact จะเริ่มเบาลง แต่ยังมีความเสี่ยงจาก Fund Flow ต่างชาติที่ยังทยอยไหลออกจากตลาดอยู่ รวมถึงด้านสถาบันการเงินในประเทศมีปริมาณการซื้อที่สูงในช่วงที่ผ่านมา จึงคาดว่าต่อจากนี้อาจจะลดปริมาณการซื้อลง คาดว่าต้องจับตาดูในช่วงปลายปีที่จะมีแรงหนุนตลาดจากเม็ดเงินของกองทุน LTF และ RMF เข้ามา รวมถึงกองทุนต่างๆ อาจมีการเตรียมเม็ดเงินที่จะเข้าซื้อหุ้นเพื่อทำ Window Dressing และซื้อกองทุน LTF ด้วย