ในงานสัมมนาประจำปีของหนังสือพิมพ์ “ประชาชาติธุรกิจ” เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2561 ที่ผ่านมา ได้จัดขึ้นในหัวข้อ “THAILAND 2019” เมื่อคนเปลี่ยน แลนด์สเคปธุรกิจโลกเปลี่ยน ธุรกิจไทยจะก้าวไปอย่างไร ซึ่งในงานนี้ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาสถาบันวิจัย กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ได้ขึ้นเวทีกล่าวถึงความท้าทายของเศรษฐกิจไทยในปี 2562 ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจ 2019 เป็นสิ่งที่ท้าทายมากในปีนี้ โดยตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีนี้น่าจะจบลงด้วยการโต 4.3% เพราะหลัก ๆ มาจากการบริโภคในประเทศที่ค่อนข้างดี แต่จริง ๆ การบริโภคมาจากการซื้อรถยนต์เยอะ การบริโภคส่วนอื่นไม่ได้สูงขนาดนั้น การลงทุนเอกชนอยู่ที่ 3.5% แต่ปัจจัยที่ดูแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย คือ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและค่าเงินบาทที่แข็งค่าอยู่เมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ๆ ด้านเงินเฟ้อก็ยังต่ำ เพราะฉะนั้น เศรษฐกิจไทยมีภูมิคุ้มกันค่อนข้างสูง
“ภาพเศรษฐกิจในปีหน้า เรามองว่าเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทยและประเทศหลัก ๆ โตช้าลงจากปีนี้ ทางเราคาดเศรษฐกิจไทยปีหน้า น่าจะโตต่ำกว่า 4% แน่นอน ซึ่งตัวที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยก็มีความหวังจากการท่องเที่ยวฟื้นตัว ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 15% ของจีดีพี ด้านการส่งออกสินค้าก็มีการขยายตัวได้ในระดับหนึ่ง”
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
- ราคาทองวันนี้ (29 มี.ค. 67) พุ่งกระฉูด 600 บาท ทองรูปพรรณบาทละ 39,050 บาท
- เลิกอุ้มดีเซล 30 บาท จ่อขยับเพดานราคา 2 บาท มีผล 1 เมษายน 2567
แต่สิ่งที่รัฐบาลนี้เดิมพันอย่างมาก คือ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานในอีอีซี ที่รัฐบาลพร้อมจะอุดหนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่
ปี 2562 จะเป็นการเริ่มต้นโครงการต่าง ๆ ที่ได้รับการเห็นชอบและอนุมัติมีความชัดเจน ซึ่งเรามองว่าถ้าโครงการอนุมัติ จะมีเอกชนแห่มาลงทุนหรือเปล่า เนื่องจากปีนี้การลงทุนเอกชนโตแค่ 3.5% ถ้าประสบความสำเร็จ ก็จะเห็นการลงทุนเอกชนโตกว่า 3.5%
“ศุภวุฒิ” กล่าวว่า สิ่งที่รัฐกำลังทำมีปัจจัยหลัก ๆ คือ การสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินอู่ตะเภา-สุวรรณภูมิ ซึ่งจะเป็นการนำเอาทรัพย์สินปัจจุบันที่ใช้น้อยนำทรัพย์สินมาใช้ให้เกิดความคุ้มค่า ซึ่งปีนี้สนามบินอู่ตะเภารับผู้โดยสาร 1 ล้านคน แต่มีศักยภาพที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 20-30 ล้านคน เทียบเท่ากับดอนเมือง ดังนั้น จะทำอย่างไรให้มีการใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ซึ่งหากรัฐเชื่อม 3 สนามบินได้ จะใช้เวลาเดินทางเพียง 45 นาที ก็คาดหวังว่าจะมีการขยายตัวของนักท่องเที่ยวแถบพัทยาเพิ่มขึ้นไปอีก และหวังว่าจะรองรับนักจำนวนท่องเที่ยวให้เกินจากที่มี 30 ล้านคน เป็น 40 ล้านคน ซึ่งจะเป็นเครี่องยนต์ใหม่ที่ขับเคลื่อนการเติบโตของด้านการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ที่อู่ตะเภายังมีการสร้างศูนย์ซ่อมเครื่องบินจะเป็นอุตสาหกรรมเครื่องบินหรือขนส่งได้ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจ รวมถึงการมีอุตสาหกรรมใหม่ ๆ อย่างสมาร์ทซิตี้ที่ฉะเชิงเทราที่คาดหวังจะเห็นในครึ่งปีหลัง นี่คือภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีหน้า
ด้านการเมืองของไทย เขามองว่าหลายคนพูดว่าถ้ามีการเลือกตั้ง หุ้นน่าจะขึ้น แต่เราก็ไม่เชื่อว่าจะขึ้น เพราะการเลือกตั้งเป็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบประชาธิปไตย โดยอาศัยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เราไม่ได้มีการเลือกตั้งผ่านสภามา 5 ปี ไม่มีการเลือกตั้งมาเกือบ 8 ปี แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ทุกคนสนใจ
“ถ้าดูตรงนี้ มันหมายถึงความไม่แน่นอน ความไม่แน่ใจ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ภายใต้ระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ ที่หลายคนยังไม่ได้เข้าใจลึกซึ้งและสงสัยว่าจะนับคะแนนยากมาก เราคิดว่าครึ่งแรกของปีนี้ ไทยจะอยู่ในเรื่องของการเมือง ความไม่แน่นอน การนับคะแนนและการตั้งรัฐบาล ครึ่งปีแรกถ้ามองจากมุมนักลงทุน ต้อง wait and see (รอดู) ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลต่อไป มีนโยบายอย่างไร รัฐบาลใหม่จะมีศักยภาพมีเสถียรภาพมากน้อยแค่ไหน”
สำหรับปัจจัยภายนอกประเทศ ดูจะเป็นเรื่องที่ “สำคัญกว่า” ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เพราะการส่งออกของไทยอยู่ที่ 55% ของจีดีพี ซึ่งใหญ่กว่าการบริโภคของคนไทย เมื่อรวมกับการท่องเที่ยวอีก 15% ของจีดีพี เท่ากับว่า “กำลังซื้อจากภายนอก” มีสัดส่วนสูง 70% ของจีดีพี
ซึ่งคนจะสนใจมากเรื่องสงครามการค้าสหรัฐและจีน ที่มีการถกเถียงกันมาก จากที่ “ทรัมป์” มีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนมีมูลค่าราว 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนน้อยมากแค่ 0.2% ของจีดีพีสหรัฐ ซึ่งดูไม่น่าจะมีผลกระทบมาก แต่ก็ยังต้องดูการพบปะครั้งสำคัญของ “ทรัมป์” และ”สี จิ้นผิง” ในวันที่ 30 พ.ย. 61 ว่าจะคุยกันรู้เรื่องไหม จะเป็นจุดพลิกผันสำหรับการมองเศรษฐกิจในอนาคต
ด้านยุโรปก็ยังมีความไม่แน่นอน เนื่องจากในภูมิภาคยุโรปมีความอ่อนไหวสูง จากที่แกนนำหลักอย่างเยอรมนีจะต้องเลือกผู้นำคนใหม่ต่อจากนางอังเกลา แมร์เคิล รวมถึงประเด็น Brexit (อังกฤษจะออกจาก EU) ที่คาดว่ากำลังจะเกิดขึ้น และอิตาลีที่ยืนกรานจะทบทวนร่างงบประมาณประจำปี 2562 ประเด็นเหล่านี้ทำให้ยุโรปไม่สามารถเป็นผู้นำพาเศรษฐกิจโลกในปีหน้าได้
ส่วน “จีน” กำลังหาวิธีรับมือกับอเมริกา และรับมือกับเศรษฐกิจของประเทศตัวเองที่กำลังจะชะลอลง ด้วยการใช้นโยบายให้เงินหยวนค่อย ๆ อ่อนค่า เพื่อลดผลกระทบจากการทำสงครามการค้ากับอเมริกา ซึ่งเงินหยวนที่อ่อนค่า รวมถึงค่าเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่ “อ่อนค่า” จะหมายความว่า กำลังซื้อที่ “ลดลง” ของประเทศตลาดเกิดใหม่ในตลาดโลก โดยล่าสุดราคาน้ำมันปรับลดลง 7% ส่วนหนึ่งมาจากค่าเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่อ่อนค่าลง ก็จะทำให้แรงซื้อน้ำมันของประเทศเหล่านี้อ่อนลงไป
“ประเด็นค่าเงินของประเทศเกิดใหม่ที่อ่อนลงนี้ จะส่งผลกระทบในปีหน้า ที่จะทำให้กำลังซื้อในตลาดโลกลดลง ส่วนญี่ปุ่นจะมีจุดยืนค่อนข้างลำบาก เนื่องจากการพยายามยืนข้างจีน แต่ต้องการเป็นพันธมิตรกับสหรัฐเช่นกัน เมื่อมองดูภาพของเศรษฐกิจโลกในเชิงดังกล่าว ถือว่ายังมีความไม่ชัดเจน นักลงทุนจึงมีแนวโน้มว่า wait and see ซึ่งจะทำให้การลงทุนของโลกแผ่วลง” ศุภวุฒิกล่าว
ประเด็นสุดท้าย คือ การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่คาดกันว่าวันที่ 19 ธ.ค. 61 เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง และจะขึ้นอีก 3 ครั้งในปีหน้า จากเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่ร้อนแรงจริง ๆ ปีนี้คาดการณ์ว่าจะเติบโต 1.8% แต่ก็โตไปถึง 3% ถือว่าเศรษฐกิจ “โตเกินศักยภาพ” เฟดจึงมองว่าต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อให้กลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งสถิติในอดีต ภาวะดอกเบี้ยปกติ จะอยู่ที่เงินเฟ้อบวก 1% ปัจจุบันเงินเฟ้อของสหรัฐ อยู่ที่ 2-2.3% ถ้าจะกลับสู่ภาวะปกติ ดอกเบี้ยเฟดควรจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 3% ซึ่งก็จะดึงให้ดอกเบี้ยของประเทศต่าง ๆ ขึ้นตาม
“ศุภวุฒิ” กลับมาดอกเบี้ยนโยบายของไทย ว่า จะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่นั้น ทางภัทรยังไม่ตกผลึก เนื่องจากไทยยังมีปัจจัยบวกที่ทำให้อาจไม่ต้องเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตามเฟด ได้แก่ เงินเฟ้อยังต่ำอยู่ที่ 1% แต่เงินเฟ้อของสหรัฐ 2% การที่ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงมากปีนี้ราว 7-8% ของจีดีพี และปีหน้าคาดจะอยู่ที่ 6-7% ของจีดีพี หากเป็นเช่นนั้นแล้ว จะมีเงินไหลเข้าจากการส่งออกมากกว่าการนำเข้าเดือนละ 2-3 พันล้านเหรียญสหรัฐ และหากจะมีเงินไหลออกบ้างจากช่องว่างของดอกเบี้ยนโยบาย ก็อาจไม่มีความจำเป็นต้องไปเร่งขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากไทยมีกันชนจากปัจจัยบวกค่อนข้างสูง
“ประเด็นที่น่าสนใจ คือ ค่าเงิน จะต้องดูค่าเงินดอลลาร์เป็นยังไง ซึ่งมีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้น แต่ไทยมีศักยภาพ ก็ไม่ต้องเร่งขึ้นตาม จากปัจจัยการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดยังสูง สิ่งที่เราคงเห็นในปีหน้า คือ ครึ่งปีแรกจะพะวงสนใจเรื่องการเมือง และมองหาคำตอบให้ตัวเอง ส่วนครึ่งปีหลังรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาจะมีนโยบายอะไรขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” ศุภวุฒิทิ้งท้าย