TMB มองเศรษฐกิจไทยปี 62 โต 3.8% เหตุส่งออก-ท่องเที่ยวแผ่ว คาดเศรษฐกิจไปต่อได้จากแรงขับเคลื่อนภายใน

แฟ้มภาพ

TMB มองเศรษฐกิจไทยปี 62 โต 3.8% เหตุส่งออก-ท่องเที่ยวแผ่ว คาดเศรษฐกิจไปต่อได้จากแรงขับเคลื่อนภายใน หนุนดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหาร TMB Analytics เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 62 มีแนวโน้มขยายตัวได้ 3.8% จากแรงหนุนของเครื่องยนต์ภายในทั้งการบริโภคขยายตัวต่อเนื่อง และการลงทุนภาคเอกชนที่ได้รับผลบวกจาก EEC ขณะที่ภาคส่งออกเติบโตแผ่วลง โดยประเมินการท่องเที่ยวกลับเข้าสู่ระดับปกติ นอกจากนี้ คาดว่าธุรกิจธนาคารพาณิชย์มีทิศทางดีต่อเนื่อง สินเชื่อและเงินฝากเติบโตดี NPL อยู่ในระดับทรงตัว ในขณะที่เศรษฐกิจไทยปี 61 TMB Analytics ได้ปรับประมาณการการเติบโตเหลือ 4.0% จากเดิมมองไว้อยู่ที่ 4.5% จากปัจจัยหลักคือด้านการส่งออกที่เริ่มมีสัญญาณโตแผ่วลงตั้งแต่กลางปี และการท่องเที่ยวที่เจอเหตุการณ์เรือล่มที่จังหวัดภูเก็ต ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนลดลงมาก

โดยด้านการส่งออกที่หดตัวที่เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอนั้น ปีนี้คาดว่าการส่งออกจะโต 7.4% และชะลอลงในปีหน้าอยู่ที่ 4.3 ซึ่งปัจจัยเสี่ยงกระทบที่ส่งออกไทยปี 62 ได้แก่ ภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน ส่งผลให้การส่งออกของไทยลดลงราว 1 พันล้านดอลลาร์หรือ 0.4% และเรายังเผชิญกับการตั้งกำแพงภาษีบนสินค้าไทยและตัดสิทธิ GSP จากสหรัฐฯเป็นปัจจัยส่งผลลบฉุดส่งออกไทยลดลงไปราวอีก 0.1% ขณะที่ปัจจัยด้านสงครามการค้าสหรัฐ-จีน แม้ไทยได้รับผลลบทางอ้อมจากการที่จีนส่งออกไปสหรัฐฯไม่ได้ ซึ่งทำให้สินค้าที่เราเป็นซัพพลายเชนส่งออกไปผลิตต่อในจีนมีปัญหา

แต่ในอีกด้านมองเป็นโอกาสที่สหรัฐฯจะนำเข้าสินค้าจากผู้ผลิตประเทศอื่นๆรวมทั้งไทยด้วยเพื่อทดแทนการนำเข้าจากจีน ดังนั้น ปัจจัยด้านสงครามการค้า สรุปแล้วคาดว่าจะเป็นผลบวกทำให้เราส่งออกได้เพิ่มขึ้น 0.1% ซึ่งทำให้ในปี 62 มูลค่าส่งออกโดยรวมจะยังคงเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1หมื่นล้านดอลลาร์ หรือขยายตัว 4.3% นอกจากนี้ FDI จากจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการย้ายฐานการผลิตและกระจายฐานการผลิตมาไทยและอาเซียน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติ

ในส่วนของการท่องเที่ยวคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 40.2 ล้านคนในปี 62 หรือเพิ่มขึ้น 6.6% แม้ในช่วงไตรมาส 4 ปี 61 ตลาดนักท่องเที่ยวจีนยังคงลดลง แต่คาดว่าจะกลับสู่ระดับปกติในปี 62

อย่างไรก็ตาม ในปี 62 เศรษฐกิจไทยยังได้ปัจจัยภายในประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนหลักอยู่ ได้แก่ การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่องจากสินค้าคงทน ซึ่งเป็นผลจากปลดล็อคมาตรการรถคันแรก รวมทั้งรายได้ภาคเกษตรที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้นในทุกสินค้า

นอกจากนี้ การลงทุนมีความต่อเนื่องและชัดเจนในครึ่งหลังปี 62 โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ EEC ทั้งที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนของภาคธุรกิจ โดยส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน จะเกิดขึ้นได้ภายใต้พ.ร.บ.EEC เช่น รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และส่วนของภาคเอกชนคาดเริ่มเห็นการลงทุนของอุตสาหกรรม S-Curve ที่ได้รับการอนุมัติจาก BOI ในปี 59-60 ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ปิโตรเคมี เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

นายนริศกล่าวต่อไปว่า ในด้านตลาดการเงิน ดอกเบี้ยนโยบายเริ่มเข้าสู่วงจรขาขึ้นในปลายปี 61 แต่เป็นการปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป คาดสิ้นปี 62 อยู่ที่ 2% โดยมีหลายปัจจัยสนับสนุนทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ถือว่าสูงกว่าระดับศักยภาพ อัตราเงินเฟ้อขยับสูงขึ้นอยู่ในกรอบเป้าหมาย และเป็นการสร้างความสามารถในการดำเนินนโยบายหรือ policy space รองรับความผันผวนตลาดการเงินโลก โดยดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นจาก 1.5%เป็น 1.75%ณ สิ้นปี 61 และคาดว่าจะปรับขึ้นได้อีก 1 ครั้งในไตรมาส 3 ปี 62 ซึ่งคาดว่าจะไม่ส่งผลต่อต้นทุนการเงินของภาคธุรกิจมากนักเนื่องจากสภาพคล่องของธนาคารยังอยู่ในระดับสูง

TMB Analytics มองว่าค่าเงินบาทอาจผันผวนหนักและมีทิศทางอ่อนค่าลง ขณะที่บอนด์ยีลด์ระยะยาวปรับสูงขึ้น สิ้นปี 62 ค่าเงินบาทมีโอกาสแตะ 33.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากปัจจัยภายนอกทั้งภาคส่งออกและการท่องเที่ยวที่ชะลอตัว ขณะที่การไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติผันผวนมากขึ้นจากสภาพคล่องโลกที่ตึงตัวมากขึ้น และอาจเป็นการไหลออกสุทธิ กดดันเงินบาททั้งปีเฉลี่ยที่ 33.0 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าจากเฉลี่ยราว 32.3 บาทต่อดอลลาร์ในปี 61 นอกจากนี้ บอนด์ยีลด์ไทยระยะยาวมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ กดดันผลตอบแทนการลงทุนในตราสารหนี้และกระทบต้นทุนการกู้ยืมเงินของภาคเอกชน

ด้านสินเชื่อโดยรวมมีแนวโน้มขยายตัว 5.8% จากปี 61 ที่ขยายตัวราว 6.3% ซึ่งมาจากการเติบโตของสินเชื่อ SME และสินเชื่อรายย่อยที่มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 6% จากการฟื้นตัวของกำลังซื้อ โดยสินเชื่อ SME ที่เติบโตเป็นธุรกิจก่อสร้างและบริการ ส่วนสินเชื่อรายย่อยเติบโตดี นำโดยสินเชื่อเช่าซื้อรถที่เติบโตเป็นผลจากการปลดล็อคมาตรการรถคันแรกและรายได้ภาคครัวเรือนที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับสินเชื่อขนาดใหญ่คาดกลับมาเติบโตโดยได้รับผลดีจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและมาตรการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI และ EEC

โดยคุณภาพสินเชื่อไม่น่ากังวลมากนัก โดย NPL Ratio สินเชื่อธุรกิจปรับดีขึ้น และทรงตัวในสินเชื่อรายย่อย ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจที่ขยายตัวในเกณฑ์ดีแม้จะโตแผ่วลง อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มสินเชื่อรายย่อย พบว่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีแนวโน้ม NPL เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากผลของการเร่งปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

“ด้านเงินฝากมีแนวโน้มขยายตัว 5.6% ตามความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น อย่างไรก็ตามจากการเติบโตสินเชื่อที่ไม่เร่งตัวมาก คาดว่าจะทำให้สภาพคล่องธนาคารพาณิชย์ยังคงอยู่ในระดับสูงเกือบ 4 ล้านล้านบาท” นายนริศกล่าว