แบงก์กรุงศรีลั่นกลองรบ ลงสนาม “วาณิชธนกิจ” ปักธงโต 30%

จัดทัพลงตัวแล้วสำหรับทีมวาณิชธนกิจของธนาคารกรุงศรี (BAY) นำทัพโดยนายสิทธิไชย มหาคุณ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านวาณิชธนกิจ ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง พร้อมนำทีมผู้บริหารร่วมกันประกาศแผนกลยุทธ์ “บริการครบวงจร” ที่จะเดินหน้าในปี 2562 และการประสานความแข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทในเครือของกรุงศรี กรุ๊ป (ที่มีทั้งธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจจัดการกองทุนรวม) และเครือข่ายระดับโลกของ มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเซียล กรุ๊ป (MUFG) ที่ได้รับการจัดอันดับเป็นผู้จัดสรรเงินกู้รายใหญ่อันดับ 1 ของโลก

นายสิทธิไชยกล่าวว่า กรุงศรีมีความพร้อมให้บริการทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ Project Finance & Structured Finance (PFSF) ซึ่งจะทำทั้งจัดโครงสร้างทางการเงินและจัดวงเงินสินชื่อโครงการ การจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายตราสารหนี้ (DCM) การเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและรับประกันการจัดจำหน่ายในการระดมทุนจากการเสนอขาย (IPO) ตราสารทุน (ECM) และการควบรวมและการซื้อกิจการ (M&A) โดยขณะนี้มีดีลต่าง ๆ ในมือแล้ว โดยปีหน้ากลุ่มงานวาณิชธนกิจเติบโตราว 25-30% ซึ่งจะเห็นเน้นเพิ่มรายได้จากด้าน ECM ให้มีสัดส่วนมากขึ้นเป็น 14.7% จากปีนี้ที่อยู่ระดับต่ำ 0.4% ของรายได้รวม

โดยงานที่ปรึกษาทางการเงินนำบริษัทเข้าจดทะเบียน ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างเสนอเข้าไปทำดีลอยู่ ซึ่งน่าจะเห็นผลในปีหน้าเพราะบริษัทที่จะเข้าตลาดจะต้องใช้เวลาในการแต่งตัว โดยจะเน้นบริษัทที่มีมูลค่าดีลหรือระดมทุน 500 ล้านบาทขึ้นไป นอกจากนี้ ยังกอง REIT (ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์) ซึ่งมูลค่าดีลราว 2,000 ล้านบาทขึ้นไป ตอนนี้มี 2 กองแล้วมูลค่ารวมราว 7 พันล้านบาท

“ปีหน้า REIT มีขั้นต่ำ 2 กองเข้ามา ซึ่งจะทำให้รายได้ส่วนนี้โต เทรนด์ออกกอง REIT ยังมีกองอีกหลากหลายโดยเฉพาะอาคารสำนักงาน โรงแรม ก็น่าจะเห็นกลับมาอีกครั้ง ซึ่งเราไม่ใช่มีเฉพาะแค่ดีลในประเทศเท่านั้น ส่วนหุ้นก็ยังมองว่าตลาดมีความผันผวน ถือเป็นเรื่องปกติ ยิ่งมีเรื่องดอกเบี้ยทิศทางขาขึ้น ดังนั้น ก็จะเห็นการปรับฐาน แต่จริง ๆ เรื่องนี้ก็ขึ้นกับพื้นฐานหุ้นด้วย เพราะถึงจุดหนึ่งก็จะมีแรงซื้อเข้ามารับ ดังนั้น การที่เราจะเอาหุ้น IPO เข้าตลาดจะต้องคัดกรองก่อนว่าคุณสมบัติพร้อมเข้าไหม ถ้าดูไปได้ก็เดินหน้าในปีหน้า”

ส่วนพอร์ตหลักของงานวาณิชธนกิจ คือ งานโปรเจ็กต์ไฟแนนซ์ จะเห็นความชัดเจนระดับหนึ่งและมีหลากหลายดีล ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในประเทศ ซึ่งปีหน้ามีโอกาสที่จะเติบโตเยอะจากความต้องการใช้บริการโปรเจ็กต์ไฟแนนซ์จากความคืบหน้าของโครงการ EEC (ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก) พวกโครงการรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3-มาบตาพุดเฟส 3 การขยายสนามบินอู่ตะเภา เป็นต้น ดีลที่จะเกิดขึ้นสำหรับเรา คือ การหาคนมา bid (ซื้อ) และจัดเรื่องเงินทุน ซึ่งจะดูตามลูกค้าของแบงก์ โดยงานส่วนนี้ธนาคารจะเน้นขนาดดีลมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม งานโปรเจ็กต์ไฟแนนซ์ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารจะได้รับความร่วมมือจากผู้ถือหุ้นใหญ่ญี่ปุ่น “MUFG” ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ดีลที่เป็นงานโครงสร้างพื้นฐาน ธุรกิจน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ อย่าง บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ เป็นต้น ธุรกิจการบินก็เป็นการบินไทย ซึ่งปีที่แล้วธนาคารมีรายได้จากส่วนนี้ถึง 50% ของรายได้รวมฝ่ายนี้

นายสิทธิไชยกล่าวถึงพอร์ต การจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายตราสารหนี้ว่า ในช่วงที่ดอกเบี้ยขาขึ้นลูกค้า (ภาคธุรกิจ) ก็อยากล็อกต้นทุนทางการเงิน ก็จะยิ่งเห็นออกมากขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดยอดออกหุ้นกู้ไปถึง 8 แสนล้านบาทแล้ว ส่วนใหญ่จะเห็นการออกหุ้นกู้อายุ 2-3 ปีกัน โดยในสถานการณ์ดอกเบี้ยขาขึ้น การออกหุ้นกู้จะมีต้นทุนถูกกว่ากู้แบงก์แน่นอน

ส่วนช่วงที่ผ่านมา ธนาคารได้เป็นผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ของบริษัทหลากหลายกลุ่มธุรกิจในไทย อาทิ กลุ่มพลังงาน สาธารณูปโภค อาหารและเครื่องดื่ม อสังหาริมทรัพย์ และงานเป็นที่ปรึกษาควบรวมและซื้อกิจการ นายสิทธิไชยกล่าวว่า มี M&A อยู่ 5 ดีล อยู่ในมือทั้งในและต่างประเทศ ขนาดของดีลราว 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งมีทั้งดีลที่เป็นบริษัทต่างชาติเข้ามาซื้อบริษัทในไทยราว 4 ดีลทีเดียว และอีก 1 ดีลเป็นบริษัทไทยซื้อกันเองในประเทศ โดยคาดว่าจะเห็น 2 ดีลทำสำเร็จได้ภายในสิ้นปีนี้หรือราวต้นปีหน้า ซึ่งงาน M&A ธนาคารจะทำร่วมกับเครือข่ายของ MUFG ที่มีอยู่วโลก โดยธนาคารจะเป็นฝั่งผู้ขายของดีลมากกว่า งานในส่วน M&A จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 17% ของรายได้รวม จากเดิมอยู่ที่ 12% นับเป็นการลั่นกลองรบของทีมวาณิชธนกิจแบงก์กรุงศรี ที่จะลงสนามในปีหน้า ส่วนจะรุกสำเร็จตามเป้าหมายเพียงใด เป็นอีกความท้าทายเพราะมีหลายปัจจัยที่คุมยากเช่นกัน