แบงก์ดูดเงินฝากปลายปี เดินหน้า”ล็อกต้นทุน” รับดอกเบี้ยขาขึ้น

แบงก์ขยับดูดเงินฝากรับดอกเบี้ยขาขึ้น แบงก์กรุงเทพนำทีมแบงก์ใหญ่ออกเงินฝากพิเศษ 9 เดือน ดอกเบี้ย 1.625% ออมสินระดมทุนขายสลากพิเศษ 5 ปี ลอตใหม่ 6 หมื่นล้าน พร้อมแจกรถเบนซ์-โตโยต้า คัมรี ศูนย์วิจัยกสิกรฯชี้สินเชื่อเดือนตุลาฯเพิ่มขึ้น แบงก์กลาง-เล็กออกโปรดักต์เงินฝากระยะยาวล็อกต้นทุน ลุ้นประชุม กนง.ธันวาคมปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% 

แบงก์แห่ออกเงินฝากพิเศษ

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า ในช่วงเดือน พ.ย.นี้มีธนาคารพาณิชย์เริ่มมีความเคลื่อนไหวในการออกผลิตภัณฑ์เงินฝากดอกเบี้ยพิเศษออกมาให้เห็นมากขึ้น โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็กและกลาง อาทิ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทยออกผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำพิเศษ 5 เดือน ดอกเบี้ย 1.6% ต่อปี ธนาคารธนชาต เงินฝากประจำพิเศษ 17 เดือน อัตราดอกเบี้ย 1.85% ต่อปี ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เงินฝากประจำพิเศษ 25 เดือน ดอกเบี้ยสูงสุด 2.5% (เฉลี่ย 2.14% ต่อปี) รวมทั้งธนาคารกรุงศรีอยุธยาที่รุกทำตลาดผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำปลอดภาษี 24 เดือน ดอกเบี้ย 2.3% ต่อปี

และที่น่าจับตาคือการขยับของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อย่างธนาคารกรุงเทพที่ล่าสุดได้ออกเงินฝากดอกเบี้ยพิเศษ 9 เดือน อัตราดอกเบี้ย 1.625% ต่อปี และฝากดอกเบี้ยพิเศษ 7 เดือน 1.375% ขณะที่ทางธนาคารกสิกรไทยก็มีเงินฝากดอกเบี้ยพิเศษ 15 เดือน ดอกเบี้ย 1.5% ออกมา

แม้แต่ธนาคารของรัฐอย่างธนาคารออมสินในช่วงปลายปีก็มีการออกโปรดักต์เงินฝากมาดูดเงินเข้าแบงก์หลายตัว ทั้ง เงินฝากเผื่อเรียก 4 เดือน รับดอกเบี้ย 1.15% ต่อปี เงินฝากเผื่อเรียก 9 เดือน รับดอกเบี้ย 1.35% ต่อปี และเงินฝากเผื่อเรียก 14 เดือน รับดอกเบี้ย 1.45% ต่อปี นอกจากนี้ในวันที่ 2 ธันวาคมนี้ก็เปิดขาย “สลากออมสินพิเศษ 5 ปี” งวดใหม่ วงเงิน 60,000 ล้านบาท พร้อมแคมเปญพิเศษได้สิทธิ์ลุ้นรับรางวัลพิเศษ รถเบนซ์ รถยนต์โตโยต้า คัมรี รถกระบะและอื่น ๆ รวม 216 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 28 ล้านบาท

ออมสินระดมเงินฝากปลายปี

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ธนาคารได้ออกสลากออมสินพิเศษ 5 ปี ลอตใหม่ วงเงิน 60,000 ล้านบาท เริ่มเปิดจำหน่ายในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ ราคาต่อหน่วย 100 บาท เมื่อฝากครบ 5 ปี จะได้ดอกเบี้ยหน่วยละ 4 บาท

“ครั้งนี้เราแจกรางวัลเพิ่มดับเบิล ซึ่งจะจูงใจให้คนชอบฝากเงินได้ลุ้นรางวัลด้วย โดยรางวัลสูงสุดคือรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่น E 350 งวดนี้มีถึง 2 รางวัล มูลค่า 7.16 ล้านบาท รางวัลรถยนต์โตโยต้า คัมรี รุ่น 2.0G อีก 6 รางวัล มูลค่ารวม 7.95 ล้านบาท และรางวัลอื่น ๆ รวม 216รางวัล และถ้าซื้อ 10,000 หน่วยหรือ 1,000,000 บาท ก็จะถูกรางวัลทุกงวด”นายชาติชายกล่าว

บริหารต้นทุนรับ ดบ.ขาขึ้น

นายชาติชายกล่าวว่า การออกสลากงวดนี้รวมถึงการระดมเงินฝากของธนาคารออมสินช่วงปลายปีนั้นถือเป็นช่วงที่ต้องมีการระดมเงินฝาก หลังจากระหว่างปีไม่ได้มีการระดมเงินฝากมากนัก ประกอบกับธนาคารต้องบริหารสภาพคล่องและต้นทุนธนาคารในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นด้วย ซึ่งก็ต้องรอดูว่าเดือนธันวาคมนี้ กนง.จะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ หลังจากนี้แบงก์ต่าง ๆ ก็คงต้องวางแผนการเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องและบริหารต้นทุน

“ดอกเบี้ยขาขึ้น แบงก์ไม่ได้กังวล แต่ก็อยู่ที่บริหารจัดการเงินฝากและเงินกู้จะมีสัดส่วนระหว่าง short term กับ long term มากน้อยแค่ไหน ก็เป็นการบริหารจัดการแต่ละแบงก์ เพราะมีโครงสร้างทางการเงินที่แตกต่างกัน ในส่วนของธนาคารออมสินเราก็สามารถบริหารจัดการต้นทุนระยะยาวได้ดีกว่า เพราะมีเงินฝาก 3-5 ปี ดังนั้นเราก็สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดี ซึ่งสลากออมสินคิดเป็นครึ่งหนึ่งของพอร์ตเงินฝากที่อยู่ที่ 2.2-2.3 ล้านล้านบาท”

แบงก์ขึ้นดอกเบี้ยกู้บ้าน

นายชาติชายกล่าวอีกว่า ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณที่หลายแบงก์เริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้สินเชื่อบ้าน เนื่องจากที่ผ่านมามีการคิดดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี ซึ่งเมื่อต้นทุนขยับขึ้นหลายธนาคารจึงต้องปรับดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้นตาม แต่ธนาคารออมสินยังไม่ได้ปรับ โดยคาดว่าจะตรึงไว้จนถึงสิ้นปีนี้ รอดูว่าถ้าดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้นและแบงก์อื่น ๆ

ประกาศขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ธนาคารจึงค่อยปรับขึ้นตาม

ลงทุนเอกชนขยับ 

นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหารศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจธนาคารทหารไทย (TMB Analytics) เปิดเผยว่า ภาพเศรษฐกิจปีหน้าของไทยจะชะลอตัวลง โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 3.8% จากปีนี้อยู่ที่ราว 4% ซึ่งปรับลดประมาณการจากเดิมที่คาดไว้ 4.5% โดยการชะลอตัวในปีหน้ามาจากปัจจัยภาคส่งออกที่การเติบโตลดลงเหลือ 4.3% จากปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 7.4% และภาคการท่องเที่ยวก็คาดว่าจะเติบโตได้ไม่ดีมาก

ปีหน้าเศรษฐกิจยังได้แรงหนุนจากปัจจัยในประเทศคือการลงทุนเอกชน ที่รัฐบาลมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนใน EEC ทั้งโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนภาคธุรกิจ เช่น โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน หรือการลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curve) ที่จะเริ่มลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ปิโตรเคมี และเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

ลุ้น กนง.ขึ้นดอกเบี้ย ธ.ค.นี้

นายนริศกล่าวว่า สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าจะเห็นการปรับขึ้น 0.25% ในเดือน ธ.ค.นี้ และปีหน้าอาจจะปรับขึ้นอีกหนึ่งครั้ง แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะไม่เอื้อก็ตาม ทำให้สิ้นปี”62 ดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าจะอยู่ที่ 2% ซึ่งจะเกิดส่วนต่างกับดอกเบี้ยสหรัฐทำให้อาจเกิดเงินทุนไหลออกได้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์คงจะยังไม่ปรับขึ้น ถ้าดอกเบี้ยนโยบายไม่ขึ้น เนื่องจากปัจจุบันสภาพคล่องของธนาคารมีเยอะ อยู่ที่ราว 4 ล้านล้านบาท

ปัจจุบันที่เห็นธนาคารต่าง ๆ เริ่มออกแคมเปญดอกเบี้ยเงินฝากพิเศษมาจำนวนมากนั้น เพื่อรองรับการครบรอบเงินฝากประจำอันก่อนหน้านี้ที่กำลังหมด ทั้งยังเพื่อรักษาสัดส่วนเงินฝากประจำและออมทรัพย์ให้อยู่ในสัดส่วนเหมาะสมตามที่ธนาคารต้องการ ส่วนหนึ่งก็อาจจะออกแคมเปญมาเพราะเป็นการล็อกต้นทุนทางการเงินในปีหน้า แต่ไม่ใช่ส่วนหลักเพราะสภาพคล่องปัจจุบันของธนาคารเหลือเยอะ ซึ่งยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องระดมเงิน

นายนริศกล่าวว่า แม้ว่าปีหน้าจะมีโครงการภาครัฐและเอกชนออกมาจำนวนมาก ที่ก่อให้เกิดอานิสงส์แก่ธนาคารในการปล่อยสินเชื่อ แต่คาดว่าไม่ใช่ปัจจัยหลักในการออกแคมเปญเพื่อระดมทุนเพื่อรองรับการปล่อยสินเชื่อในอนาคต เนื่องจากมองว่าแม้ว่าสินเชื่อปีหน้าจะเติบโตแต่บริษัทเอกชนที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการก่อสร้างต่าง ๆ สามารถระดมเงินทุนโดยตรงได้เอง เช่น ออกหุ้นกู้หรือพันธบัตร โดยอาจไม่จำเป็นต้องมาขอกู้ธนาคาร หรือกู้จำนวนไม่มาก

แข่งระดมเงินฝากปีหน้า

นายนริศกล่าวว่า เทรนด์การออกแคมเปญเงินฝากประจำดอกเบี้ยพิเศษคงจะมีมากขึ้นในปีหน้า แต่ต้องขึ้นอยู่กับการปรับขึ้นของดอกเบี้ยนโยบายและการเติบโตของสินเชื่อ เนื่องจากการระดมเงินฝากแต่ละครั้งจะต้องมีต้นทุนไม่น้อย

“เชื่อว่าไม่มีใครอยากรีบระดมเงินฝากตอนนี้ เพราะทำให้ต้นทุนเงินฝากเพิ่มขึ้นทันที ขณะที่ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Nim) ปัจจุบันไม่ได้สูง อยู่ที่ราว 3% ธนาคารจะคิดอย่างระมัดระวังในการออกแคมเปญแต่ละครั้ง” นายนริศกล่าว

ทั้งนี้ มองว่าสินเชื่อปีหน้าคาดว่าจะโต 5.8% จากปีนี้โต 6.3% ซึ่งได้แรงขับเคลื่อนจากแนวโน้มสินเชื่อเอสเอ็มอีและสินเชื่อรายย่อยที่เติบโตได้ดีจากการพื้นตัวของกำลังซื้อ ในขณะที่สินเชื่อรายใหญ่คาดว่าจะกลับมาโตได้ 4.8% จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและ EEC

สินเชื่อเดือน ต.ค.เร่งตัวขึ้น

ขณะที่รายงานข่าวจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ภาพรวมสินเชื่อสุทธิของธนาคารพาณิชย์ 14 แห่ง ในเดือน ต.ค. 2561 กลับมาเร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อน 8.2 หมื่นล้านบาท หรือ 0.73% มาอยู่ที่ 11.427 ล้านล้านบาท เป็นผลมาจากการขยายตัวดีขึ้นของสินเชื่อรายย่อยทุกประเภท (สินเชื่อที่อยู่อาศัย เช่าซื้อ และสินเชื่อไม่มีหลักประกัน) และสินเชื่อธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ขณะที่ภาพรวมเงินฝาก ต.ค. 2561 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าถึง 2.28 แสนล้านบาท หรือ 1.86% มาอยู่ที่ 12.504 ล้านล้านบาท โดยเงินฝากที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ส่งผล

ให้ภาพรวมสภาพคล่องของธนาคารผ่อนคลายมากขึ้น

แบงก์เริ่มขยับล็อกต้นทุน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า สถานการณ์สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์จะยังคงขยายตัวดีต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีซึ่งน่าจะช่วยทำให้ภาพรวมสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทั้งปี 2561 เติบโตที่ประมาณ 6.0% โดย 2 เดือนที่เหลือสินเชื่อรายย่อยเป็นตัวนำการขับเคลื่อนหลัก โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์น่าจะได้รับอานิสงส์จากการเปิดตัวรถรุ่นใหม่และรายการส่งเสริมการขายในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป รวมทั้งสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยอาจมีทิศทางที่เร่งขึ้นตามธุรกรรมการซื้อที่อยู่อาศัยก่อนที่เกณฑ์กำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของ ธปท.จะมีผลบังคับใช้

สำหรับแนวโน้มเงินฝากใน 2 เดือนสุดท้ายของปี ยังไม่เห็นการแข่งขันระดมเงินฝากในวงกว้าง เนื่องจากสภาพคล่องในระบบยังคงอยู่ในระดับสูง แต่จะเริ่มเห็นการออกผลิตภัณฑ์เงินฝากที่มีระยะเวลาการฝากยาวขึ้นเพื่อล็อกต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายบางส่วน ส่วนประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดจะอยู่ที่ผลการประชุม กนง.ในเดือน ธ.ค.นี้ รวมถึงสัญญาณ/ท่าทีต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทยในปีหน้าเพราะจะมีผลต่อเนื่องต่อทิศทางของอัตราดอกเบี้ยหลาย ๆ ประเภทที่จะเปลี่ยนแปลงไป

ซีไอเอ็มบีขยายฐานลูกค้า


ด้านนายอดิศร เสริมชัยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจรายย่อย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย เปิดเผยว่าธนาคารได้ออกแคมเปญเงินฝากประจำพิเศษ 24 เดือน ดอกเบี้ย 2.5% ต่อปี และฝากสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาท เพื่อหาลูกค้าใหม่ให้มาลองใช้ผลิตภัณฑ์ ไม่ได้เป็นการล็อกต้นทุนทางการเงินรองรับภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น เพราะปีหน้าไม่คิดว่าสภาพคล่องทางการเงินจะตึงตัว เนื่องจากเศรษฐกิจยังไม่ได้เติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้การระดมเงินบางส่วนก็เพื่อรองรับการปล่อยสินเชื่อปีหน้า แต่ไม่ได้รีบร้อนระดมเงินมากนัก