ค่าเงินบาทแข็งค่าตามภูมิภาค ตลาดจับตาผลการประชุม ECB

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม 2561 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (13/12) ที่ระดับ 32.72/74 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวแข็งค่าจากระดับปิดตลาดในวันพุธ (12/12) ที่ระดับ 32.78/79 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นตามภูมิภาค เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนกำลังดำเนินไปด้วยดี และเขาพร้อมจะแทรกแซงกรณีการจับกุมตัวนางเมิ่ง ว่านโจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) ของบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี หากจะช่วยให้สหรัฐสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับจีนได้

อย่างไรก็ตาม นายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐ เปิดเผยว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะแทรกแซงกรณีการจับกุมตัวนางเมิ่ง ว่านโจว โดยกล่าวว่าการจับกุมตัวนางเมิ่งนั้นเป็นการดำเนินการตามกฎหมาย ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการค้าเหมือนกับที่หลาย ๆ ฝ่ายวิจารณ์ นอกจากนี้ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล ซึ่งระบุว่าจีนกำลังเตรียมทดทนนโยบาย “Made in China 2025” ด้วยนโยบายใหม่ที่จะทำให้บริษัทต่างชาติสามารถเข้าสู่ตลาดจีนได้มากขึ้น ซึ่งนโยบายใหม่นี้จะทำให้จีนลดเป้าหมายในการเป็นผู้นำในภาคการผลิต โดยคาดว่าจีนอาจใช้นโยบายใหม่ในต้นปีหน้า ขณะที่สหรัฐและจีนจะเร่งการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งทางการค้าระหว่างกัน ทั้งนี้ ระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 32.67-32.74 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 32.70/71 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร ค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้าวันนี้ (13/2) ที่ระดับ 1.1367/72 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ปรับตัวแข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันพุธ (12/12) ที่ระดับ 1.1330/31 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร นักลงทุนจับตาธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งจะจัดการประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ยในวันนี้ ขณะที่ตลาดคาดการณ์ว่านายมาริโอ ดรากี ประธาน ECB จะประกาศยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อย่างเป็นทางการ โดยนายดรากีได้ออกมาส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ว่า ECB จะไม่เปลี่ยนแปลงแผนการยุติมาตรการ QE วงเงิน 2.5 ล้านล้านยูโรในช่วงสิ้นปีนี้ แม้มีผู้คัดค้านว่า ECB ดำเนินการเร็วเกินไป เพราะขณะนี้เศรษฐกิจยูโรโซนยังชะลอตัว และจำเป็นต้องใช้มาตรการ QE ต่อไป ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.1364-1.1382 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.1376/80 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน ค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (13/12) ที่ระดับ 113.35/38 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวแข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันพุธ (12/12) ที่ 113.46/47 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 113.21-113.50 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 113.45/47 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ

นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ รอดพ้นจากการลงมติไม่ไว้วางใจจากสมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยม ด้วยคะแนนเสียง 200 เสียงต่อ 117 เสียง  ทำให้นางเมย์ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคและตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป ขณะเดียวกันชัยชนะในครั้งนี้ยังส่งผลทำให้สมาชิกในพรรคไม่สามารถเปิดอภิปรายไม้ไว้วางใจเพื่อขับเธอออกจากพรรคไปอีกอย่างน้อย 1 ปี โดยนายกรัฐมนตรีเมย์ได้แถลงที่ให้คำมั่นจะผลักดันกระบวนการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปหรือ Brexit ที่ “ประชาชนเป็นผู้โหวตลงคะแนน” ให้ดำเนินไปอย่างสำเร็จลุล่วง

ดัชนีสำคัญทางเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ (13/12) ยอดค้าปลีกเดือน พ.ย. (14/12) การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน พ.ย. (14/12) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือน ธ.ค.จากมาร์กิต (14/12) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือน ธ.ค.จากมาร์กิต (14/12) และสต๊อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือน ต.ค. (14/12)

สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -3.85/-3.60 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยง ภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -2.20/-1.90 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ