แบงก์กรุงเทพระวังเสี่ยงรับเศรษฐกิจชะลอ หวังโครงการรัฐ-อีอีซีเพิ่มความเชื่อมั่นเอกชนลงทุน

รายงานข่าวจากธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL เปิดเผยว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทย ปี 2562 จะชะลอลงจากปี 2561 ที่คาดว่าจะขยายตัว 4.1% จากภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความไม่แน่นอนของนโยบายทางการค้าของสหรัฐ และการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า อย่างไรก็ดี ความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายของภาครัฐรวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศ อีกทั้งยังมีโอกาสจากการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย ทั้งนี้ จากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจดังกล่าว ธนาคารคาดว่าจะยังคงสามารถรักษาผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างมั่นคง ในขณะที่ธนาคารยังคงแนวทางการบริหารฐานะการเงินด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง ควบคู่กับการรักษาสภาพคล่องและเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่สามารถรองรับการขยายธุรกิจในอนาคตและความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อให้ธนาคารมีเสถียรภาพทางการเงินที่ยั่งยืน

“จีดีพีไทยในปี 2561 จะอยู่ในระดับ 4.1% เพิ่มขึ้นจาก 3.9 ในปี 2560 โดยภาคการส่งออกชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 ท่ามกลางภาวะการชะลอตัวของการค้าโลกและความเสี่ยงจากนโยบายทางการค้าของสหรัฐ ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น การบริโภคของภาคเอกชนขยายตัวดีกว่าที่คาด ส่วนหนึ่งจากยอดขายรถยนต์ที่เร่งตัวขึ้น สำหรับการลงทุนภาคเอกชนยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีการขยายกำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์และปิโตรเคมี ซึ่งรองรับความต้องการภายในประเทศที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น ในด้านของดิจิทัลกระแสของโลกยุคดิจิทัลทำให้เกิดโอกาสในการให้บริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลได้สะดวกและหลากหลายมากขึ้น ขณะเดียวกัน ก่อให้เกิดการแข่งขันในการให้บริการดังกล่าวมากขึ้น ในช่วงต้นปี 2561 ธนาคารพาณิชย์ประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลเพื่อตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป” รายงานข่าวระบุ

รายงานข่าวระบุว่า สำหรับผลการดำเนินงานปี 2561 ว่า ธนาคารมีกำไรสุทธิ 35,330 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.0% จากปี 2560 โดยมีรายได้จากการดำเนินงานจำนวน 121,401 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 7.1% และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 9.1% จากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากธุรกรรมเพื่อค้าและปริวรรตเงินตราต่างประเทศ และกำไรสุทธิจากเงินลงทุน แม้ว่าจะมีการยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัล รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิของธนาคารและบริษัทย่อยยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน เนื่องจากค่าธรรมเนียมจากบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวมเติบโตดี ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (นิม) เพิ่มขึ้นเป็น 2.40% ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 45.4% ด้านสินเชื่ออยู่ที่ 2.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.0% จากสิ้นปี 2560 จากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ สินเชื่อลูกค้าบุคคล และสินเชื่อกิจการต่างประเทศ เงินฝากอยู่ที่ 2.32 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% จากสิ้นปี 2560 สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 3.4% จากสิ้นปี 2560 ที่ 3.9% ขณะที่อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 190.9%

 


ที่มา : มติชนออนไลน์