“สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด” ชี้เลือกตั้งหนุนเศรษฐกิจระยะสั้น

ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ชี้การเลือกตั้งหนุนเศรษฐกิจระยะสั้น รัฐออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคต่อเนื่องจากปลายปี’61 ส่วนปลายปี’62 นี้ คาดได้แรงหนุนจากการเบิกจ่ายลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรัฐ

นายทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ประจำ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) เปิดเผยว่า จากงานวิจัยของธนาคารฯ ประเมินว่าการเติบโตที่ขับเคลื่อนไปด้วยกันทั่วโลกตั้งแต่ต้นปี 2561 เริ่มส่งสัญญาณเป็นทิศทางอ่อนตัวลง โดยปัจจัยสนับสนุนการเติบโตหลายปัจจัยที่ตลาดรับรู้ตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมากำลังผันแปรไปในทางตรงกันข้าม เรามองเห็นความเสี่ยงจากการยุติมาตรการ QE และการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมีหลายปัจจัยที่อาจจะทำให้การเติบโตชะลอตัวลงอย่างชัดเจน อาทิเช่น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน การเมืองยุโรป นโยบายการรักษาสมดุลที่เข้มงวดของจีน และความผันผวนของราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ธนาคารฯ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกปี 2562 จะเติบโตทีระดับ 3.6% แตกต่างจากคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ตั้งไว้ 3.5%

ภูมิภาคอาเซียน

การเติบโตด้านการส่งออกของภูมิภาคเริ่มส่งสัญญาณได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าและการเติบโตที่ชะลอตัวลงในประเทศจีนและยุโรป โดยสิงคโปร์ มาเลเซีย และประเทศไทยมีความเปราะบางต่อการเติบโตทางการค้าที่ชะลอตัวลง ในขณะที่เวียดนามและมาเลเซียน่าจะได้ประโยชน์จากการส่งออกไปยังสหรัฐฯ มากขึ้นหากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเร่งตัวขึ้นอีก อย่างไรก็ตามภาพรวมการเติบโตของทั้งภูมิภาคยังดูดีเนื่องจากความต้องการภายในประเทศยังคงเข้มแข็ง ซึ่งขับเคลื่อนโดยการใช้จ่ายจากภาครัฐในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย ในขณะที่เงินเฟ้อของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนอยู่ในภาวะแตกต่างกัน และการอ่อนค่าของค่าเงินหยวนจีนน่าจะมีแรงกดดันให้ธนาคารกลางของแต่ละประเทศปกป้องค่าเงินของตน

ประเทศใดได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ไม่ใช่ปัจจัยที่ส่งผลดีต่อการเติบโตของโลก เนื่องจากการบิดเบือนทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับภาษีมีแนวโน้มจะส่งผลให้การเติบโตสุทธิของจีดีพีลดลง อย่างไรก็ตาม อาจมีบางประเทศที่ได้ประโยชน์จากสงครามการค้านี้เพราะเข้ามาตอบสนองความต้องการของสหรัฐฯ แทนที่สินค้าจากจีน เราคาดว่าจะมีประเทศที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์จากการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมายังสหรัฐฯ ดังนี้

• สถานการณ์ที่ 1 : ผลกระทบไปยังประเทศในห่วงโซ่อุปทานของจีน (เสียประโยชน์) ด้วยสมมติฐานการเก็บภาษี 25% จากสินค้านำเข้าสหรัฐฯ จากประเทศจีน ปริมาณการส่งออกของจีนมายังสหรัฐฯ จะลดลง 40% ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกของประเทศต่างๆ ที่ส่งไปยังจีนเพื่อส่งต่อไปยังสหรัฐฯ ลดลง 40%

• สถานการณ์ที่ 2 : สินค้าจากประเทศอื่นเข้ามาแทนที่เพื่อตอบสนองความต้องการของสหรัฐฯ (ได้ประโยชน์) เราคาดว่าคู่แข่งของจีนจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้และสามารถขายสินค้ามายังสหรัฐฯ ได้มากขึ้นสัมพันธ์กับสัดส่วนการส่งออกในปัจจุบัน เราคาดว่าปริมาณการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ของประเทศเหล่านี้จะเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน

• สถานการณ์ที่ 3 : ประเทศที่เคยอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของจีนจะได้ประโยชน์จากการป้อนวัตถุดิบให้ประเทศในสถานการณ์ที่ 2 ที่สามารถส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้มากขึ้น

เราพบว่าเวียดนาม เม็กซิโก มาเลเซีย ไทย และแคนาดา เป็นประเทศที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ข้างต้น ในแง่ของผลกระทบต่อจีดีพีของประเทศเหล่านั้น

ภาพรวมเศรษฐกิจไทย – แนวโน้มยังดีแม้มีปัจจัยเสี่ยงจากภายนอก

ปีนี้เป็นเรื่องของการสานต่อนโยบายอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้มีปัจจัยกระตุ้นอะไรใหม่ โดยเรื่องหลักในปีนี้คือการติดตามการเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปีนี้ แม้ว่าจะมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้ง แต่เราคาดว่าการเลือกตั้งและการส่งมอบงานจะเป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งจะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดี เศรษฐกิจของประเทศไทยขยายตัวได้ดีและสอดคล้องกับสิ่งที่เรามองว่าอัตราการเติบโตตามศักยภาพของประเทศจะอยู่ที่ราว 4% เรายังคงเห็นแนวโน้มที่ดีของภาพรวมประเทศ โดยคาดว่าเศรษฐกิจน่าจะขยายตัว 4.5% ในปี 2562

“อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคาดการณ์ที่ 4.5% เป็นคาดการณ์เดิมตั้งแต่ปี 2561 ธนาคารฯ อาจมีการปรับลดจีดีพีลง โดยประเมินว่าอาจเติบโตได้มากกว่า 4% แต่อาจไม่เติบโตได้ถึงระดับ 4.5% อย่างที่คงคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม ธนาคารฯ ไม่ได้ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจบ่อย รวมถึงปัจจุบันพึ่งเริ่มเดือนแรกของปี 2562 จึงต้องรอดูหลังจากนี้จึงค่อยปรับคาดการณ์” นายทิมกล่าว

เราคาดว่ารัฐบาลใหม่จะยังคงดำเนินนโยบายต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปีข้างหน้าไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร โครงการเมกะโปรเจ็ค ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญ น่าจะดำเนินไปได้ตามแผนที่วางไว้ ทั้งนี้เนื่องจากรัฐธรรมนูญใหม่อนุญาตให้โครงการพัฒนาต่างๆ ของรัฐบาลชุดปัจจุบันสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง

“เราคิดว่าภาพรวมการเมืองที่ดีขึ้น ประกอบกับตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่เข้มแข็งของไทย จะทำให้ประเทศไทยได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศขึ้นหลังจากการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม เรายังไม่เห็นปัจจัยกระตุ้นการเติบโตใหม่หลังการเลือกตั้ง” นายทิมกล่าวเสริม

เรายังคงน้ำหนักเป็นกลางกับภาพรวมการส่งออกของประเทศเนื่องจากผลกระทบที่ยังไม่แน่นอนจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ถึงแม้ว่าความขัดแย้งดังกล่าวอาจส่งประโยชน์ให้ไทย เนื่องจากมีผู้ต้องการสินค้าไปทดแทนสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาษี แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ส่งออกไทยในการตอบสนองต่อความต้องการการนำเข้าสินค้าไทยที่เพิ่มมากขึ้นจากทั้งสหรัฐฯ กับจีน

นอกจากนี้เรายังคงติดตามว่ารัฐบาลจะมีมาตรการใดออกมาช่วยการชะลอตัวลงของภาคการท่องเที่ยวหลังจากเกิดเหตุเรือล่มที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กลับมาในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามส่งเสริมการท่องเที่ยวในต่างจังหวัดที่ยังไม่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว โดยในปีนี้รัฐบาลคาดว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 40 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 38 ล้านคน

เราคาดว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้ อย่างไรก็ตาม เพื่อสะท้อนอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาดในปี 2561 เราได้ปรับลดประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปว่าจะอยู่ที่ 2.0% ในปี 2562 (จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 2.3%) อย่างไรก็ตามเงินเฟ้ออาจเพิ่มสูงขึ้นหากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งตั้งไว้ที่ 1%-4% หลังจากที่ส่วนมากอยู่ต่ำกว่าระดับ 1% นับตั้งแต่มีการใช้นโยบายกรอบเงินเฟ้อดังกล่าวในปี 2558

นโยบายการเงิน – ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นเร็วกว่าคาด

เราคาดว่า ธปท. จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสองครั้งในปีนี้ โดยมองความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งประมาณการในตลาดคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ของเราอาจต้องมองพัฒนาการของตลาดโลกประกอบด้วย ทั้งนี้ ธปท. มีความกังวลเรื่องความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากขึ้น เนื่องจากการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ระดับต่ำเป็นเวลานาน อีกทั้งยังมีความผันผวนในภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเกิดจากการซื้อเก็งกำไรและพฤติกรรมของการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นซึ่งอาจนำมาซึ่งความเสี่ยง โดย คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีความเห็นว่ามาตรการที่รอบคอบแบบมหภาคอย่างเดียวไม่เพียงพอจะดูแลความเสี่ยงเหล่านั้น

การประชุม กนง. ในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ เราคาดว่าจะมีการส่งสัญญาณหลังจากที่กระบวนการปรับอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับปกติเริ่มขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เมื่อมองไปข้างหน้า เราเห็นว่าจะมีการใช้จ่ายที่มากขึ้นและมีความไม่แน่นอนในภาคการท่องเที่ยว ดังนั้นเราเชื่อว่า ช่วงเวลาที่ประเทศไทยมีดุลบัญชีเดินสะพัดที่เข้มแข็งได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เพื่อสะท้อนปัจจัยเหล่านี้ เราได้ปรับลดประมาณการดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2562 ลงมาอยู่ที่ 5.0% ของจีดีพี จากเดิมที่มองไว้ที่ 7.0% โดยค่าเฉลี่ยของตลาดอยู่ที่ 8% ส่วนการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธปท. คาดว่าจะขึ้นอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 50 bps จากระดับ 1.75% มาอยู่ที่ระดับ 2.25% โดยประเมินว่าจะแบ่งขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกและช่วงครึ่งปีหลังอย่างละครั้ง

ด้านค่าเงินบาท เรามีมุมมอง “บาทอ่อน” เนื่องจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดลดลง การนำเข้ามากขึ้น การท่องเที่ยวที่ยังคงไม่แน่นอน และการเมืองที่ยังต้องติดตาม จึงประเมินว่าค่าเงินบาทจะอ่อนตัวลง โดยมองเป้าหมายเงินบาทกลางปี 2562ที่ 33.00 บาท และปลายปีที่ 33.50 โดยปัจจุบันค่าเงินบาทอยู่ที่ 31.70 บาท

บทสรุป – ช่วงเวลาควรระวัง ความท้าทายมาเป็นระลอกแต่ยังอยู่ในวิสัย

เราคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะค่อยๆ ชะลอตัวลงในปี 2562 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ ยุโรป และจีน การระดมทุนมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ความตึงเครียดทางการค้า และการเมืองยุโรปจะเป็นเรื่องที่ต้องติดตามในปีนี้ และต่อเนื่องไป ซึ่งสร้างความท้าทายมากขึ้นให้กับตลาดประเทศเกิดใหม่ ความท้าทายเหล่านี้อาจจะบรรเทาลงบ้างจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในแถบลาตินอเมริกา แอฟริกา และตะวันออกกลาง ตลาดประเทศเกิดใหม่ที่ถูกมองว่าจะมีการพัฒนาขึ้น น่าจะมีโอกาสดีขึ้นในแง่ของการเติบโตและกระแสการลงทุนในอนาคต ในส่วนของประเทศมหาอำนาจหรือเศรษฐกิจใหญ่ๆ ของโลกกำลังเผชิญกับรอบการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ในขณะที่บางประเทศในทวีปเอเชียกำลังเผชิญปัญหาการเติบโตที่ชะลอตัวลง เนื่องจากสังคมผู้สูงวัยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนประเทศที่เน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งการคมนาคมขนส่ง และงานด้านกฎหมาย กฎระเบียบและมาตรฐานต่างๆ น่าจะอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบกว่าในการเผชิญกับความท้าทายที่มาเป็นระลอกในอนาคต