SET เคลื่อนไหวรับปัจจัยเชิงบวก จับตาประชุม FOMC และการเจรจาการค้า

KTBST คาด SET สัปดาห์นี้มีทิศทางเชิงบวก มองกรอบดัชนี 1,600-1,650 จุด จับตาการเจรจาการค้าสหรัฐฯกับจีน และ ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯในการประชุม FOMC กลางสัปดาห์ แนะกลยุทธ์ลงทุน เน้นหุ้นใหญ่ที่และหุ้นที่ยังขึ้นไม่มาก หุ้นเด่น BBL, BDMS, LH , ERW, AMATA, STEC*, BGRIM, ANAN และ TKN

ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST ประเมินตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (28 ม.ค. – 1ก.พ.) ว่าตลาดมีแนวโน้มแกว่งตัวผันผวน โดยปัจจัยหลักมาจากต่างประเทศที่ตลาดกำลังติดตามคือการเจรจาการค้าระหว่างตัวแทนของสหรัฐฯและจีนในช่วงกลางสัปดาห์นี้ (30-31 ม.ค.) ที่คาดว่าจะยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก แต่หากมีการบรรลุเงื่อนไขในประเด็นใหญ่บางประการโดยเฉพาะเรื่องสินทรัพย์ทางปัญหาหรือเรื่องเทคโนโลยีจะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นได้ ขณะที่ล่าสุดประธานาธิบดีสหรัฐฯได้ลงนามงบประมาณให้หน่วยงานราชการสามารถดำเนินงานได้ต่อถึงวันที่ 15 ก.พ. ถือเป็นสัญญาณบวกว่าอาจจะมีข้อยุติในเรื่องสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐฯกับเม็กซิโกได้

อีกประเด็นที่สำคัญในสัปดาห์นี้คือ การประชุม FOMC ของสหรัฐฯ (29-30 ม.ค.) ซึ่งจะมีการให้แนวทางในการใช้นโยบายการเงินของปีนี้ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มชะลอตัว โดยตลาดกำลังรอดูท่าทีว่าในปีนี้ Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยกี่ครั้ง และนโยบายการลดการถือครองพันธบัตรของมาตรการ QE ที่น่าจะมีการพิจารณาอีกครั้งว่าจะทำตามกำหนดเดิมหรือไม่ ซึ่งหากชะลอการขายสินทรัพย์จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น

ส่วนปัจจัยในประเทศ การประกาศวันเลือกตั้งในสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น แต่ KTBTS มองว่า ดัชนีฯได้ขยับตัวขึ้นล่วงหน้าไปกว่า 40 จุด หรือเกือบ 3% ก่อนมีการประกาศเลือกตั้งประมาณ 1 สัปดาห์ ซึ่งมองว่าทิศทางดัชนีฯจากนี้อาจเคลื่อนไหวทรงตัว (sideway) แต่ดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีกครั้งหากมีการคาดการณ์ว่าผลการเลือกตั้งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น

ดังนั้นมุมมองการลงทุนในสัปดาห์นี้ KTBST ประเมินว่า SET Index จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,600-1,650 จุด โดยมีทิศทางปรับตัวบวกมากกว่าลบ จากปัจจัยบวกเรื่องการเมืองไทยเและนโยบายการเงินของ Fed ที่น่าจะส่งผลในเชิงบวกต่อตลาด ทั้งนี้กลยุทธ์ลงทุน ยังคงเน้นหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งน่าจะเห็นแรงซื้อจากเงินลงทุน (Fund Flow) ที่เริ่มกลับเข้ามา และเน้นหุ้นที่ยังปรับตัวขึ้นไม่มาก เช่น BBL, BDMS, LH รวมถึงหุ้นที่มีปัจจัยบวกอื่นๆสนับสุนน ได้แก่ ERW, AMATA, STEC*, BGRIM, ANAN และ TKN