เงินบาทอ่อนค่า จับตาการเจรจาการค้าสหรัฐกับจีน-สถานการณ์ BREXIT

แฟ้มภาพ
เงินบาทกลับมาอ่อนค่าปลายสัปดาห์ แต่ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นตามปัจจัยต่างประเทศ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยสรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทว่า เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบกว่า 5 ปี ที่ 31.07 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนลดช่วงบวกลงปลายสัปดาห์ โดยเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นในช่วงแรก สอดคล้องกับทิศทางสินทรัพย์เสี่ยง เงินหยวน และสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ท่ามกลางความคาดหวังต่อสัญญาณเชิงบวกจากการเจรจาทางการค้าสหรัฐฯ-จีน นอกจากนี้ เงินบาทยังมีแรงหนุนจากแรงซื้อสุทธิหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติในช่วงกลางสัปดาห์อีกด้วย อย่างไรก็ดี เงินบาทลดช่วงบวกดังกล่าวลงในช่วงปลายสัปดาห์ ตามแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ ก่อนการพบกับระหว่างปธน. ทรัมป์ และรองนายกรัฐมนตรีของจีน ประกอบกับเงินบาทมีปัจจัยลบจากตัวเลขการส่งออกไทยที่หดตัวลงมากกว่าคาดในเดือนม.ค.

ในวันศุกร์ (22 ก.พ.) เงินบาทกลับมาอยู่ที่ 31.32 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 31.28 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (15 ก.พ.)

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (25 ก.พ.-1 มี.ค.) ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 31.10-31.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยในประเทศที่สำคัญ ได้แก่ รายงานเศรษฐกิจการเงินเดือนม.ค. และตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.พ. ขณะที่ จุดสนใจเพิ่มเติมในต่างประเทศ น่าจะอยู่ที่ความคืบหน้าของการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ถ้อยแถลงของประธานเฟด สถานการณ์ BREXIT และดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนก.พ. ของสหรัฐฯ และประเทศชั้นนำอื่นๆ ขณะที่ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญระหว่างสัปดาห์ ได้แก่ ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน ดัชนีราคาบ้าน ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ ยอดสั่งซื้อสินค้าโรงงาน และตัวเลขเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคา Core PCE Price Index เดือนธ.ค. ยอดขายบ้านที่รอปิดการขาย เดือนม.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.พ. และตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2561

ส่วนความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นจากสัปดาห์ก่อน โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับที่ 1,659.20 จุด เพิ่มขึ้น 1.36% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่ มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 8.87% จากสัปดาห์ก่อน มาที่ 47,010.71 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ mai เพิ่มขึ้น 0.27% มาปิดที่ 384.27 จุด

ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบช่วงต้นสัปดาห์ ขณะที่ปริมาณการซื้อขายเบาบาง อย่างไรก็ดี ดัชนีฯ ดีดตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางสัปดาห์ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยมีปัจจัยหนุนจากความคาดหวังเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังมีรายงานข่าวว่า คณะผู้แทนของทั้งสองฝ่ายกำลังร่างบันทึกความเข้าใจจำนวน 6 ฉบับที่เกี่ยวกับประเด็นเชิงโครงสร้าง ทั้งนี้ ปัจจัยบวกดังกล่าวมีส่วนช่วยหักล้างปัจจัยลบที่เข้ามากดดันตลาดช่วงปลายสัปดาห์อย่างข้อมูลการส่งออกของไทยที่หดตัวในเดือนม.ค.


สำหรับสัปดาห์ถัดไป (25 ก.พ.–1 มี.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,650 และ 1,640 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,675 และ 1,685 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คงได้แก่ ผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดรวมถึงเจ้าหน้าที่เฟดระดับสูง รวมถึงสถานการณ์ BREXIT ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/61 ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคลเดือนธ.ค. รวมถึงดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนก.พ. ขณะที่ ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนม.ค. ของญี่ปุ่น รวมถึงดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนก.พ.ของประเทศในยุโรปและเอเชีย