สรรพสามิตดันทบทวนโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบ ที่ได้รับผลกระทบจากลดปริมาณการรับซื้อ

สรรพสามิตผลักดันทบทวนโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบให้ครอบคลุมถึงผู้บ่มใบยาอิสระที่ได้รับผลกระทบ ผลจากการผลักดันของกรมสรรพสามิตส่งผลให้เกษตรกรผู้เพาะปลูกยาสูบภายใต้สังกัดผู้บ่มอิสระ และผู้บ่มอิสระซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยามีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการฯ

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2561 ที่เห็นชอบโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบ เฉพาะฤดูการผลิต 2561/2562 เนื่องจากโควตาการรับซื้อใบยาสูบลดลง โดยอนุมัติงบประมาณจำนวน 159.59 ล้านบาท เพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกร จำนวน 13,557 ราย ยังไม่ครอบคลุมการช่วยเหลือกลุ่มผู้บ่มใบยาอิสระพันธุ์เวอร์ยิเนียซึ่งได้รับผลกระทบด้วย

อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวต่อว่า ต่อมากรมสรรพสามิตเห็นว่าเพื่อให้โครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบ จากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบเกิดความเป็นธรรมและครอบคลุมทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ กรมสรรพสามิตจึงได้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทบทวนโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบดังกล่าว โดยให้เกษตรกรผู้เพาะปลูกยาสูบภายใต้สังกัดผู้บ่มอิสระ และผู้บ่มอิสระซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยา มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการฯ ในสัดส่วนตามต้นทุนดำเนินการระหว่างผู้บ่มอิสระกับเกษตรกรผู้เพาะปลูกขายใบยาสด 70 : 30 ของเงินช่วยเหลือสำหรับใบยาเวอร์ยิเนีย 17.50 บาทต่อกิโลกรัม โดยผู้บ่มอิสระได้รับเงินช่วยเหลือ 12.25 บาทต่อกิโลกรัม และเกษตรกรผู้เพาะปลูกขายใบยาสด ได้รับเงินช่วยเหลือ 5.25 บาทต่อกิโลกรัม ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณโครงการฯ เดิม (159.59 ล้านบาท)

อธิบดีกรมสรรพสามิต ทิ้งท้ายว่า เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบทบทวนโครงการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวตามที่กรมสรรพสามิตเสนอ โดยปัจจุบันโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบได้ช่วยเหลือโดยโอนเงินให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกยาสูบผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรไปแล้ว จำนวน 8,333 ราย วงเงินประมาณ 73.76 ล้านบาท และในส่วนที่เหลือจะดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือในโครงการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคม 2562 ต่อไป