TQM นำร่องบล็อกเชนไตรมาส 3 เสริมเขี้ยวปั๊มเบี้ย 1.5 หมื่นล.-ยันไม่ลดคน

“ทีคิวเอ็ม” โบรกเกอร์ประกันภัย ดึง “บล็อกเชน” เก็บข้อมูลกรมธรรม์ลูกค้า เพิ่มเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยขั้นสูง เล็งเปิดใช้ไตรมาส 3 นี้ นำร่องข้อมูลประกันรถ ชูเทคโนโลยีเสริมทัพ ไม่ลดคน ดันปี”63 เบี้ยแตะ 1.5 หมื่นล้าน

นางนภัสนันท์ พรรณนิภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด (TQM) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภายในไตรมาส 3/62 บริษัทเตรียมวางโครงข่ายในการเก็บข้อมูลธุรกรรมออนไลน์ผ่านระบบบล็อกเชน (block chain) ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในการเก็บรักษาข้อมูลกรมธรรม์อย่างปลอดภัยสูงสุด

นภัสนันท์ พรรณนิภา

โดยเบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มนำร่องสำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ก่อน เนื่องจากพอร์ตลูกค้ากลุ่มนี้มีสัดส่วนมากกว่า 70% ของจำนวนลูกค้าทั้งหมดที่มีอยู่ 1.5 ล้านราย หลังจากนั้นจะขยายครอบคลุมทุกกรมธรรม์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในปีนี้ ส่วนเฟสถัดไป บริษัทจะต่อยอดสร้างความสะดวกให้แก่การดำเนินธุรกิจในการรับส่งแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างพันธมิตรบริษัทประกันภัย และหน่วยงานอื่น ๆ

“เฟสแรกเราจะนำบล็อกเชนมาใช้กับข้อมูลลูกค้าภายในก่อน เพื่อรอดูผลตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งเป็นบริการเสริมที่ไม่มีค่าใช้จ่าย” นางนภัสนันท์กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทจะใช้เงินลงทุนในบล็อกเชน ที่มาจากเงินทุนหมุนเวียนที่มีอยู่ 200 ล้านบาท

นางนภัสนันท์กล่าวอีกว่า บริษัทยังได้พัฒนาฟีเจอร์ “Chat Center” ที่เป็นการรวมการแชตบนดิจิทัลแพลตฟอร์มต่าง ๆ เข้ามาไว้บนระบบจัดการเดียวกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกซื้อประกันทุกโปรดักต์ได้แบบเรียลไทม์ด้วยการแชตซื้อกับ TQM Blue Beary Bot ผ่านทางไลน์ TQM Insurance Brokerรวมทั้งยังใช้ chatbot เข้ามาช่วยในส่วนงานบริการหลังการขาย อาทิ การแจ้งเคลม, การดูประวัติกรมธรรม์, การแจ้งต่ออายุประกัน, การแชร์โลเกชั่น, การส่งรูปภาพและเอกสาร, การแจ้งสถานะจัดส่งกรมธรรม์และติดตามสถานะการชำระเงิน ซึ่งสามารถดูแลลูกค้าได้ตลอด 24 ชม. โดยปัจจุบันบริษัทมีผู้ใช้บริการผ่านไลน์แล้ว จำนวน 17 ล้านคน

โดยทั้งหมดนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถบริการได้รวดเร็วและเข้าใจลูกค้าทุกเซ็กเมนต์ได้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งในอนาคตจะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้พอสมควร และบริษัทไม่มีนโยบายเพิ่มหรือลดคนในส่วนของงาน back office ซึ่งมีพนักงานอยู่แล้ว 2,000 คน เนื่องจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย จะสามารถให้บริการลูกค้าได้เพียงพอ โดยรองรับเบี้ยประกันภัยรับรวมที่ตั้งเป้าปี”63 อยู่ที่ 15,000 ล้านบาท ส่วนปี”62 คาดเบี้ยรับรวมอยู่ที่ 12,690 ล้านบาท เติบโต 14%

“เรามีพนักงานคอลเซ็นเตอร์รับสายได้ 2,000 สายต่อวัน มีโทร.บริการต่ออายุประกันลูกค้าอีก 400-500 คนต่อวัน ซึ่งให้บริการได้ไม่มากพอ เพราะบางวันมีลูกค้าโทร.มามากกว่า 5,000 สายต่อวัน หลังจากนี้เทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยเราได้ค่อนข้างมาก” นางนภัสนันท์กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันค่าเฉลี่ยคนไทยซื้อประกันราว 300 เหรียญสหรัฐ ซึ่งไม่ถึง 10,000 บาทต่อคน หากตลาดมีการพัฒนาโครงสร้างระบบดิจิทัล พร้อมในการดูแลและบริการลูกค้า จะทำให้มีการซื้อประกันเพิ่มขึ้น 3,000 เหรียญสหรัฐได้

“ปัจจุบันเบี้ยประกันภัยทั้งระบบมีอยู่กว่า 8 แสนล้านบาท ถือว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยเทคโนโลยีก็หนีไม่พ้นที่จะต้องนำมาใช้ ซึ่งเราจะเห็นเส้นกราฟของเบี้ยประกันภัยในอนาคตเติบโตพุ่งเป็น 20-30% ได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลา” นางนภัสนันท์กล่าว