นลท.กังวล ศก.สหรัฐหดตัวฉุดตลาดหุ้นไทยร่วงตามภูมิภาค จับตาความชัดเจนหลังการเลือกตั้ง

นักลงทุนกังวลเศรษฐกิจสหรัฐหดตัวจากส่วนต่างพันธบัตรระยะยาวบีบแคบต่ำกว่าพันธบัตรระยะสั้น ฉุดตลาดหุ้นไทยร่วงตามตลาดหุ้นภูมิภาค หลังตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งร่วงกว่า 400 จุดเมื่อวันศุกร์ จับตาความชัดเจนหลังการเลือกตั้ง คาดพยุงตลาดปรับลงไม่มาก-โอกาสฟื้นตัวได้

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ นักกลยุทธ์การลงทุนอิสระ เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้าวันที่ (25 มี.ค.62) ว่า ตลาดหุ้นภูมิภาคถูกกดดันจากตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับลดลง 400 กว่าจุด เมื่อวันศุกร์ค่อนข้างมาก และวันนี้ดูเหมือนจะลงต่อ ซึ่งเป็นความกังวลเรื่องเศรษฐกิจจะหดตัว หลังจากที่ส่วนต่างพันธบัตรระยะยาวกับระยะสั้นบีบแคบลงจนทำให้พันธบัตรระยะยาวจะต่ำกว่าพันธบัตรระยะสั้นแล้ว ซึ่งภาพนี้เป็นซีรีส์ต่อเนื่องที่เฟดยุติการขึ้นดอกเบี้ยและส่งสัญญาณเศรษฐกิจเริ่มแย่ลง อย่างไรก็ตามประเมินว่าจะเป็นแค่ระยะสั้น ตลาดน่าจะเริ่มหันกลับมามองในประเด็นอีก 3 เรื่องหลักๆ คือ

1.กระทรวงยุติธรรมสหรัฐประกาศยุติการสอบสวนเรื่องการแทรกแซงเลือกตั้ง ซึ่งรัสเซียจับมือทรัมป์ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จะเป็นการผ่อนคลายเรื่องหนึ่งให้กับตลาด

2.การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนในวันพฤหัสบดีที่ 28 มี.ค.นี้ โดยจะมีนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าของสหรัฐ และนายสวีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ จะเดินทางไปกรุงปักกิ่ง ซึ่งช่วงวันที่ 3 เม.ย.62 น่าจะเป็นรองนายกรัฐมนตรีหลิว เฮ่อของจีน จะเดินทางมาที่กรุงวอชิงตัน เพราะฉะนั้นการเจรจาการค้าอาจจะเป็น เชิงบวกที่ตลาดรออยู่

3.อัตราพันธบัตรระยะยาวต่ำกว่าระยะสั้น ที่ปรับตัวลงเพราะมีสัญญาณเศรษฐกิจระยะยาวชะลอตัว แต่ถ้าเกิดเฟดยังทำแบบนี้คือ “ยุติการขึ้นดอกเบี้ยและมีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยในระยะสั้นลง” น่าจะทำให้ภาพนี้ดูดีขึ้น

ดังนั้นเชื่อว่าแรงกดดันในตลาดหุ้นสหรัฐจะเริ่มผ่อนคลาย ดีไม่ดีจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นมา เพราะฉะนั้นประเด็นนี้จะกดดันตลาดหุ้นไทยน้อย

ส่วนประเด็นการเลือกตั้งไทย มีผลเลือกตั้งออกมาคร่าวๆ แล้ว ซึ่งวันนี้ช่วง 10 โมง กกต.จะแถลงผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการนับไป 95% สิ่งที่เราได้เห็นชัดๆเลยคือ พรรคพลังประชารัฐได้คะแนนมาก พรรคอนาคตใหม่ก็ได้คะแนนเยอะมาก ขณะที่พรรคเพื่อไทยได้คะแนนน้อยลง ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนแย่ไปเลย

แม้ว่าพรรคพลังประชารัฐจะได้จำนวน ส.ส.น้อยกว่าพรรคเพื่อไทย แต่คะแนนรวมทั้งประเทศมากกว่า ซึ่งมันก็มีความชอบธรรมที่จะรวมเสียง เผื่อเลือกตัว “นายกรัฐมนตรี” แต่ยังไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล เพราะอย่างน้อยๆ คะแนนเสียงทั้งประเทศมากกว่ามันก็สะท้อนว่า คนส่วนใหญ่ในประเทศต้องการใครเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งพรรคพลังประชารัฐอาจจะใช้จุดนี้เป็นจุดอ้างได้ นั่นหมายความว่าก็มีความชอบธรรมที่จะไปดึงเสียง ส.ว. 250 เสียงมาสนับสนุน

ดังนั้นแปลว่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ คือ การเลือกนายกรัฐมนตรีน่าจะเลือกได้ ซึ่งจะเป็นผลเชิงบวกต่อตลาด เพราะตลาดจะไปไม่ถูกเลยหากเป็น 3 ขั้วอย่างก่อนหน้านี้ เพราะจะรวมเสียงกันไม่ได้ในการเลือกนายกฯ แต่เมื่อเป็น 2 ขั้วจะสามารถเลือกนายกได้แน่ๆ ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลก็ไม่น่าจะยาก เพราะพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กอยากจะอยู่ในร่วมรัฐบาลอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่น่าจะยาก ส่วนฝั่งพรรคเพื่อไทยจะมีการรวมเสียงได้ไหมก็อาจจะได้ แต่ไม่ง่ายเพราะอย่างแรกต้องเลือกนายกให้ได้ก่อน ซึ่งต้องรวม 376 เสียง มันไม่ง่ายเพราะว่า ส.ว.มีความชอบธรรมที่จะไปเลือกคนที่ได้คะแนนรวมทั้งประเทศมากที่สุด

เพราะฉะนั้นขณะนี้มันชัดแล้วว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วจะจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร เพราะฉะนั้นตลาดน่าจะตอบรับเรื่องนี้ได้ค่อนข้างดี แม้ว่าตลาดจะรู้อยู่แล้วว่าใครจะมาเป็นนายก ดังนั้นเมื่อนำปัจจัยต่างประเทศและในประเทศมาผสมรวมกัน “ตลาดหุ้นไทยอาจจะไม่ได้ลงตามตลาดหุ้นภูมิภาค” มากนักหรืออาจะปรับเพิ่มขึ้นได้ โดยกรอบการเคลื่อนไหวน่าจะอยู่ที่ 1,640-1,660 จุด

กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจคือ กลุ่มหุ้นที่อิงกับนโยบายของรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นในระยะถัดไป ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนการบริโภคในประเทศ CPALL-ROBINS-BJC การกระตุ้นการลงทุนของภาครัฐ STEC-CK-WHA-AMATA และกลุ่มหุ้นอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น กุล่ม Global Play ได้แก่ PTTEP-TOP ซึ่งอิงกับการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน ซึ่งกลุ่มหุ้นเหล่านี้น่าจะฟื้นตัวและปรับเพิ่มขึ้นได้