กสิกรไทยหั่นเป้าดัชนีตลาดหุ้นลงมากกว่า 2% ไว้ที่ 1,750 จุด ระยะสั้นเคลื่อนไหวในกรอบ 1,600-1,675 จุด

กสิกรไทยปรับลดลงเป้าดัชนีตลาดหุ้นลงมากกว่า 2% ไว้ที่ 1,750 จุดระยะสั้นจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,600-1,675 จุดกลุ่มพาณิชย์คาดจะได้รับประโยชน์จากมาตรของภาครัฐที่แก้ไขปัญหาผู้ที่มีรายได้น้อย จากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ส่วนกลุ่มโรงพยาบาลภาพรวมปี 2562 ประมาณการว่ารายได้จะเติบโต 7.8%

นายภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผยว่าหากมีการจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่มีเสถียรภาพ ก็อาจจะปรับลดเป้าหมายการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET Index) ลงมากกว่า 2% จากที่ปัจจุบันคงเป้าดัชนีไว้ที่ 1,750 จุดในระยะสั้นนี้หรือภายใน เม.ย. 62 คาดดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,600-1,675 จุด

ทั้งนี้ ประมาณการว่ากำไรของตลาดหุ้น (Market EPS) อยู่ที่ 12.8% โดยมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราเติบโตของกำไรสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 23.7% กลุ่มสื่อสาร 20.3% และกลุ่มพลังงาน 13.6% โดยการลดลงของ market EPS ในปี 2561 ส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมันทีปรับตัวลดลง ส่งผลให้กลุ่มพลังงาน มีกำไรลดลงตามราคาน้ำมันอยู่ที่ -8.5 อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันปรับตัวดีขึ้นจากการลด supply ของ OPEC และการแข่งขันราคาในกลุ่ม Telco ก็จะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น เพื่อสะสมกำไรไว้ลงทุนระบบ 5G ที่กำลังจะมาถึง

นายภาสกรกล่าวว่า กลุ่มที่ได้ประโยชน์มาตรของภาครัฐที่แก้ไขปัญหาผู้ที่มีรายได้น้อย ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ และการบริโภคในต่างจังหวัดที่ไม่ค่อยสดใส คือกลุ่มพาณิชย์ ได้แก่ CPALL BJC และ HMPRO จากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจากเดิม 308 – 330 บาท/วัน ซึ่งส่งผลดีต่อกำลังการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนอย่างมาก แต่อาจจะกระทบต่อภาคธุรกิจในระยะสั้น โดยเฉพาะ กลุ่มรับเหมาหรือบริษัทที่ต้องใช้แรงงานมากๆ

ส่วนกลุ่มโรงพยาบาล จะได้รับประโยชน์จากที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบรูณ์ในปี 2565 และจากจำนวนเคสที่เพิ่มขึ้นของไข้หวัดใหญ่และไข้เลือดออกในไตรมาสที่ 1/62 รวมกันอยู่ที่ 115,980 เคสการแพร่ระบาดดังกล่าวส่วนใหญ่เกิดขึ้นในภาคกลางและภาคเหนือ ชี้ให้เห็นว่าหุ้นกล่มโรงพยาบาลที่วิเคราะห์อยู่เกือบทั้งหมดน่าจะได้ประโยชน์จากการแพร่ระบาดโรคซึ่งสาเหตุอาจมาจาก PM 2.5 และภาพรวมปี 2562 คาดว่ารายได้จะเติบโต 7.8% คิดเป็นสัดส่วน กลุ่มผู้ป่วยเงินสดที่ 5-9% กลุ่มประกันสังคมที่ฟื้นตัวเป็น 2-7% เป็นปัจจัยสนับสนุนต่อการเติบโตของรายได้

ขณะที่ภาพรวมอัตรากำไรที่คละกัน โดยเฉพาะอัตรากำไรของหุ้นกลุ่มการแพทย์มีภาพรวมที่คละกัน มีเพียง BCH และ BDMS ที่คาดว่าจะมีอัตรากำไรขาขึ้น ทั้งในแง่ของการดำเนินงานและกำไรสุทธิ โดยมีแรงหนุนมาจากขนาดกิจการที่ขยายใหญ่ขึ้น อย่างไรก็ดีคาดว่า CHG และ PR9 จะมีอัตรากำไรที่ลดลง จากการเปิดให้บริการโรงพยาบาลแห่งใหม่ที่ก่อให้เกิดต้นทุนที่สูงขึ้น ขณะที่คาดว่าอัตรากำไรของ THG จะมีความผันผวนมากที่สุด สืบเนื่องจากแผนการกระจายความเสี่ยงของบริษัทฯ ในด้าน RJH คาดว่าจะมีอัตรากำไรที่ปรับดีขึ้นในแง่ของกำไรสุทธิ ขณะที่มองว่าอัตรากำไรการดำเนินงานจะมีความผันผวน