ธปท.ขอ ธพ.ส่งข้อมูลน็อนเรซิเดนต์ตรวจสอบเก็งกำไรค่าบาท

ธปท.ขอดูข้อมูลเชิงลึก “น็อนเรซิเดนต์”เก็งกำไรค่าบาท แจงยังไม่งัดมาตรการสกัด ยันไม่ใช้มาตรการคุมเงินเข้า-ออก ส่วนแนวทางลดดอกเบี้ยขึ้นกับ กนง. ระบุไทยเทียบอินโดฯไม่ได้ เหตุดอกเบี้ยอิเหนาสูง6% ปากแข็งแจงต่างชาติ “บาทแข็ง” ไม่น่าห่วง

นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ ธปท.ยังอยู่ระหว่างหารือเรื่องจะให้ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) รายงานข้อมูลในระดับลึกมากขึ้น ในกรณีที่พบว่า ผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (nonresident) มีพฤติกรรมการโอนเงินบาทระหว่างบัญชีอย่างผิดปกติซึ่งเพิ่มเติมจากปกติจะได้รับรายงานข้อมูลของธนาคารพาณิชย์เป็นรายวัน

โดย ธปท.ต้องจับตาดูจากข้อมูลที่ได้ว่ามีการเก็งกำไรเกิดขึ้นหรือไม่ ดังนั้น ในขณะนี้จึงยังบอกไม่ได้ว่าจะมีมาตรการใดออกมาเพื่อสกัดการเก็งกำไรหรือไม่ เพราะยังเป็นเพียงการขอข้อมูลมาดูก่อน

“ตอนนี้ยังแค่เตรียมดูข้อมูลไว้ก่อน เรายังไม่ได้ทำอะไร และยืนยันว่าเราไม่ได้จะเข้าไปควบคุมน็อนเรซิเดนซ์ แต่เป็นการเข้าไปดูแลตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ เรื่องค่าเงินบาทเราต้องดูทั้งสองทางให้มันสมดุลตามพื้นฐานของเศรษฐกิจ เพราะการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทก็มีทั้งคนได้ประโยชน์และคนเสียประโยชน์” นายเมธีกล่าว

ทั้งนี้ สถานการณ์ค่าเงินบาทขณะนี้ยังคงมีความผันผวน โดยเป็นไปตามภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics) เป็นหลัก แต่คงไม่ต้องถึงกับใช้มาตรการควบคุมการไหลเข้าออกของเงินทุน ส่วนมาตรการลดปริมาณการออกพันธบัตรระยะสั้น ขณะนี้ก็ยังคงระดับไว้เท่าเดิม และคงบอกล่วงหน้าไม่ได้ว่าจะเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการหรือไม่

ส่วน ธปท.จะใช้แนวทางลดดอกเบี้ยเหมือนอินโดนีเซียหรือไม่ นายเมธีกล่าวว่า เรื่องอัตราดอกเบี้ย ตนคงไปตอบแทนคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ไม่ได้ ส่วนกรณีเปรียบเทียบกับอินโดนีเซียนั้นคงทำไม่ได้ เพราะอินโดนีเซียมีอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับสูงถึง 6%

อย่างไรก็ตาม นายเมธีได้กล่าวในงาน Thailand Focus 2017 หัวข้อ “ความท้าทายในการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศไทย” ว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ได้แข็งค่าแล้ว 7.7% ซึ่งยังไม่น่ากังวล เพราะแข็งค่าจากการที่เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง บวกกับปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์

“แม้ว่าเงินบาทจะแข็งค่าที่สุดในเอเชีย แต่ก็แข็งค่าในทิศทางเดียวกับค่าเงินสกุลอื่น ๆ ในภูมิภาค เงินบาทแข็งค่า 2.6% แต่ค่าเงินวอนของเกาหลีมีความผันผวนมากที่สุด เนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งบนคาบสมุทรเกาหลี” นายเมธีกล่าว

นอกจากนี้ ธปท.คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ 3.5% และปี 2561 จะขยายตัวได้ 3.7% โดย ธปท.ให้ตัวเลขค่อนข้างต่ำกว่าหน่วยงานอื่น เพราะประเมินว่าการบริโภคภายในประเทศ ในระยะ 1-2 ปีนี้ โต 1-2% เนื่องจากภาวะหนี้ครัวเรือนที่ส่งผลให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมยังชะลอการลงทุน

“ธปท.กังวลต่อหนี้ครัวเรือนว่าจะกระทบต่อการบริโภคในประเทศ ประชาชนที่มีหนี้สูงจะอ่อนไหวต่อแนวโน้มรายได้และภาวะดอกเบี้ย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย” รองผู้ว่าการ ธปท.กล่าว