นักวิเคราะห์แนะลดน้ำหนักการลงทุน หลังหุ้นเจอแรงขายกังวลกำไร Q1-ความเสี่ยงจัดตั้งรัฐบาล

เศรษฐกิจผันผวน-diversification

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ นักกลยุทธ์การลงทุนอิสระ เปิดเผยภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันที่ 22 เม.ย.62 ปิดตลาดที่ดัชนี 1,673.48 จุด ลดลง 0.62 จุด หรือลดลง 0.04% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 47,075.54 ล้านบาท โดยดัชนีหุ้นวันนี้เคลื่อนไหวขึ้นไปทดสอบที่แนวต้าน 1,683.79 จุด ก่อนจะปรับฐานลงมา โดยประเด็นสำคัญมาจากกลุ่มพลังงานที่มีการซื้อเพื่อเก็งกำไรปัจจัยราคาน้ำมันดิบ หลังสหรัฐฯ ออกมาตราคว่ำบาตรรับซื้อน้ำมันดิบจากประเทศอิหร่าน ทำให้ราคาน้ำมันดิบอาจมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นถูกถ่วงด้วยหุ้นกลุ่มอื่นๆ เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่เผชิญกับภาวะ “Sell on Fact” และหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ที่เผชิญแรงขายจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการงวดไตรมาส 1/62 รวมถึง ความกังวลเรื่องของความเสี่ยงในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งมาถึงวันนี้มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงว่าอาจไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ โดยจะต้องติดตามวันพุธที่ 24 เม.ย.62 ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับวินิจฉัยคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต่อการคำนวณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) บัญชีรายชื่อหรือไม่ แม้มีมุมมองว่าศาลรัฐธรรมนูญอาจไม่รับวินิจฉัย แต่ประเด็นปัจจัยดังกล่าวยังถือเป็นความเสี่ยงเช่นกัน เนื่องจากยังมีความคลุมเครืออยู่ว่ากกต.จะใช้วิธีการใดในการคำนวณจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อ ดังนั้นจึงมองว่าการจัดตั้งรัฐบาลที่ค่อนข้างคลุมเครืออาจทำให้นักลงทุนไม่สบายใจ

นอกจากนี้ ต้นเดือนพ.ค.62 ที่กำลังจะถึง อาจเผชิญแรงกดดันจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เตรียมปรับฐาน เนื่องจากกลุ่มปิโตรเลียมกำลังทยอยประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 1/62 ซึ่งมีทิศทางไม่ค่อยดีนัก รวมถึงฝั่งตลาดหุ้นไทย หุ้นกลุ่มขนาดกลางและเล็กเตรียมที่จะประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 1/62 ด้วยเช่นกัน ดังนั้น โดยรวมอาจทำให้เกิดภาวะ “Sell in May” ในช่วงต้นเดือนพ.ค.ได้

ขณะที่การเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นมาทดสอบแนวต้านที่ 1,685 จุดไปแล้ว ซึ่งเป็นแนวต้านที่สูง จึงอาจทำให้เกิดการปรับฐานของดัชนีหุ้นต่อไป โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในวันพรุ่งนี้ (23 เม.ย.62) ว่าอาจเห็นการอ่อนตัวของดัชนีลงมาแตะแนวรับที่ 1,665 จุด และแนวต้านประเมินว่าอาจไม่เกิน 1,680 จุด อย่างไรก็ตาม มองว่าดัชนีในวันพรุ่งนี้อาจมีโอกาสปรับลดลงหปทดสอบแนวรับถัดไปที่ 1,650 จุดได้

ด้านกลยุทธ์การลงทุนแนะนำ “ทยอยขายทำกำไร” และ “ลดน้ำหนักการลงทุน” อย่างไรก็ตาม หากต้องการลงทุนยังมองว่ากลุ่มพลังงานและกลุ่มโรงกลั่นเป็นกลุ่มที่ปลอดภัยที่สุด โดยแนะนำลงทุน PTTEP และ TOP ได้