จากที่ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2562 ได้ระบุถึงการให้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่มิใช่สมาชิกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สามารถเข้ามาเชื่อมต่อระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัยพ์ฯได้โดยตรง (direct access) นั้น เท่ากับว่า ต่อไป บล. ที่ไม่ได้เป็นสมาชิก จะเข้ามาเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (โบรกเกอเรจ) ได้โดยไม่ต้องส่งออร์เดอร์ผ่าน บล.ที่เป็นสมาชิก (โบรกเกอร์) เช่นปัจุจบัน
ทั้งนี้ ล่าสุด ตลท.มีโบรกเกอร์จำนวน 39 แห่ง ซึ่งเชื่อมต่อระบบกับ ตลท. ส่วน บล.ต่างชาติส่วนใหญ่จะส่งออร์เดอร์ผ่านโบรกเกอร์ไทย
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- “ทอง” รับข่าวร้ายดันราคาขาขึ้น บาทอ่อนค่าจ่อทะลุ 37 บาท
- หุ้นไทยดิ่งหนัก ตลาดหลักทรัพย์ออก Statement ชี้แจง
ขณะที่ นายศักรินทร์ ร่วมรังษี ผู้ช่วยเลขาธิการสายกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวถึงแนวทางทำ direct access ว่า เป็นการปลดล็อกให้ บล.ที่ไม่ใช่โบรกเกอร์ สามารถเข้ามาซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ ส่วนกระบวนการเปิด direct access จะขึ้นอยู่กับรูปแบบที่ ตลท.กำหนด ซึ่งไม่จำเป็นต้องขออนุญาตก.ล.ต.เพิ่มเติม และ ก.ล.ต.ไม่จำเป็นต้องออกเกณฑ์กำกับดูแลเพิ่มเช่นกัน เนื่องจากคณะกรรมการตลท.มีตัวแทนของสมาชิกที่เกี่ยวข้องอยู่และมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็น (เฮียริ่ง) จากสมาชิก ส่วนกรณีเปิด direct access เชื่อว่า จะต้องใช้เวลาดำเนินการ จึงไม่ได้กระทบโบรกเกอร์ทันทีทันใด ขณะเดียวกัน ใน พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯฉบับใหม่ มีการเปิดช่องให้ บล. สามารถออกไปซื้อขายหลักทรัพย์นอกกระดานได้ ซึ่งส่วนนี้น่าจะเป็นผลดีกับโบรกเกอร์ด้วย
ทั้งนี้ แม้ว่าขณะนี้ direct access จะยังไม่เกิดขึ้น แต่หากมาดูสถานการณ์ธุรกิจโบรกเกอร์ในเวลานี้ พบว่ายังมีการแข่งขันเรื่องตัดค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิสชั่น) ผ่านเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เก็ตติ้ง) กันรุนแรงมาตลอด โดยสงครามแย่งชิงลูกค้ารายใหญ่หรือลูกค้าต่างชาติ เพื่อหวังทำวอลุ่ม (มูลค่าการซื้อขาย) ให้เข้ามาปริมาณมาก ๆ จะได้คุ้มทุน แต่กลับเป็นว่าบางโบรกเกอร์ยอมแบกต้นทุนไว้ เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) จนทำให้ทุกวันนี้รายได้ค่าคอมฯของโบรกเกอร์หดหายไปกันทีเดียว
ขณะเดียวกัน ระบบการซื้อขายผ่านออนไลน์ (เทรดหุ้นออนไลน์) ซึ่งคิดค่าคอมฯที่ถูกกว่า ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นด้วย จนวอลุ่มจากเทรดออนไลน์เพิ่มมาเป็นครึ่งหนึ่งของวอลุ่มรวม
สถานการณ์ของโบรกเกอร์เวลานี้ สภาพแวดล้อมการทำธุรกิจเปลี่ยนไปตามโลกดิจิทัลที่มีเครื่องมือเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาเสริมเขี้ยว
การให้บริการอย่างรวดเร็ว รวมถึงติดอาวุธข้อมูลการลงทุนให้เข้าถึงลูกค้าเทรดหุ้นได้ง่าย และหาก ตลท.จะเปิดให้ทำ direct access อีกก็น่าจะเห็นโบรกเกอร์ต้องดิ้นปรับตัวอีกระลอก
โดยมุมมองของ “ภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ” นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า หากตลาดหลักทรัพย์ฯจะเปิดให้ผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกเข้ามาเชื่อมต่อ ทาง ตลท.ก็จะต้องมีกฎเกณฑ์ออกมา และต้องมีการเข้ามาตรวจสอบและควบคุมดูแลคนที่ไม่ใช่สมาชิกด้วย
“เช่น หากมีผู้ซื้อขายผ่านโบรกฯที่ไม่ใช่สมาชิกเข้ามาปั่นหุ้นในตลาดหุ้น ตลาดหลักทรัพย์ฯจะสามารถจัดการอะไรได้หรือไม่ หรือคนเหล่านี้จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.ไทยหรือไม่ ดังนั้น จึงมีอีกหลายปัจจัยที่ตลาดหลักทรัพย์ฯจะต้องคำนึงถึงก่อนที่จะเปิดให้ผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกเข้ามาเชื่อมต่อได้จริง”
อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งของ direct access คือ การเปิดช่องให้ตลาดหลักทรัพย์ไทยสามารถไปเชื่อมต่อระบบกับตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งจะเปิดให้โบรกเกอร์ในไทยสามารถออกไปซื้อขายหุ้นต่างประเทศได้ด้วย
“ดังนั้น direct access อาจไม่ได้ส่งผลกระทบทางลบกับธุรกิจโบรกเกอร์ทั้งหมด เนื่องจากยังมีโอกาสให้โบรกฯไทยมีวอลุ่มเพิ่มขึ้นจากการออกไปเทรดหุ้นต่างประเทศได้” นายกสมาคม บล.กล่าว
ด้าน “วีรพัฒน์ เพชรคุปต์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บล.คันทรี่ กรุ๊ป มองว่า ในระยะสั้นนี้ โอกาสที่ บล.ต่างชาติจะเข้ามาซื้อขายโดยตรงกับตลาดหลักทรัพย์ฯอาจเกิดขึ้นได้ยาก เนื่องจากในปัจจุบัน บล.ต่างชาติยังจำเป็นต้องพึ่งพาโบรกฯไทยดำเนินการเกี่ยวกับงานหลังบ้าน อาทิ เรื่องระบบการชำระเงินหลังทำออร์เดอร์ เป็นต้น แต่หาก บล.ต่างชาติจะดำเนินการเอง ก็ต้องมีการเตรียมตัวทำระบบต่าง ๆ อีก ดังนั้น จึงเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบโบรกฯไทยทันที
“แต่มีความเป็นไปได้ที่จะส่งผลกระทบในระยะยาว ซึ่งโบรกเกอร์ไทยที่จะได้รับผลกระทบก็จะเป็นรายที่มีลูกค้าต่างชาติ หรือ บล.ต่างชาติที่ส่งออร์เดอร์เป็นหลักจะกระทบรายได้”
ซีอีโอกล่าวว่า แต่อีกด้านหนึ่งที่เป็นสัญญาณที่ดี คือ การเปิดช่องให้โบรกเกอร์ไทยสามารถออกไปซื้อขายหุ้นนอกได้ จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการทำธุรกิจของโบรกเกอร์ไทยมากขึ้น เพราะปัจจุบัน บล.คันทรี่ กรุ๊ปมีการออกไปซื้อขายหุ้นต่างประเทศผ่านพาร์ตเนอร์ที่เป็นโบรกเกอร์ในประเทศนั้น ๆ แต่วิธีการซื้อขายยังค่อนข้างซับซ้อนและไม่สะดวกนัก นอกจากนี้ลูกค้าเราก็มีความต้องการลงทุนหุ้นต่างชาติสูง หากกฎหมายสามารถเอื้อให้ออกไปลงทุนได้เสรี ก็คาดหวังว่าสิ่งนี้จะเป็นผลดีต่อธุรกิจเช่นกัน
“ปัจจุบันโมเดลการทำธุรกิจหลักทรัพย์ที่หวังรายได้จากค่าคอมมิสชั่นอย่างเดียว คงทำได้ยากแล้ว โดยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ภาพการแข่งขันลดค่าคอมมิสชั่นทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ดังนั้นบริษัทจึงมีการเสริมธุรกิจอื่นเข้ามาเสริม เช่น การทำดีลหุ้นไอพีโอ ดีลควบรวมกิจการ การทำธุรกิจรับประกันการจำหน่ายตราสารหนี้ ที่บริษัทให้น้ำหนักค่อนข้างมาก นอกจากนี้ จะต้องขายผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น ขายบริการบริหารความมั่งคั่ง ขายกองทุน ซึ่งหารายได้นอกเหนือจากการเทรดหุ้น” ซีอีโอคันทรี่ กรุ๊ปกล่าว
แม้ direct access อาจจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้ และยังต้องติดตามดูตลท. จะคลอดรูปแบบไหนออกมา การเชื่อมต่อท่อระบบการส่งคำสั่งซื้อขายของ บล.ต่างชาติจะเทียบเท่ากับโบรกเกอร์หรือไม่ เป็นฉากที่ต้องติดตามต่อไป
แม้ที่ผ่านมา โบรกเกอร์ในไทยมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องและไล่ให้ทันดิจิทัล แต่ในระยะข้างหน้าเห็นชัดว่าคลื่นแห่งการเปิดเสรีหลักทรัพย์ กำลังจะมาถึง การตั้งฐานรับให้แน่นและมั่นคง เป็นการวัดฝีมือผู้บริหารโบรกเกอร์ในไทยไม่น้อยทีเดียว