หุ้น-การเงิน

ตลท.ลุ้นตลาดหุ้นไทยมิ.ย.สดใสหวังรัฐบาลใหม่อัดฉีดเศรษฐกิจ

ตลท.ชี้สัญญาณตลาดหุ้นไทยเดือน มิ.ย.สดใส ลุ้นรัฐบาลใหม่งัดมาตรการอัดฉีดเศรษฐกิจระยะสั้น สานต่อลงทุนเมกะโปรเจ็กต์-เผยทิศทางฟันด์โฟลว์ซื้อต่อเนื่อง ลั่น บจ.ไทยศักยภาพดี ปี’61 หอบเงินลงทุน ตปท.เฉียด 2 แสนล้านบาท เพิ่มกว่า 50% จากปี’60 ปั๊มรายได้ ตปท.ทะลุ 3 ล้านล้านบาท

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในเดือน มิ.ย. 62 เริ่มมีทิศทางดีขึ้น เนื่องจากมองว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศ จะให้ความสำคัญกับเรื่องของเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก และคาดว่าในระยะสั้นจะเห็นรัฐบาลออกมาตรการอัดฉีดเศรษฐกิจ ส่วนระยะยาวจะเห็นความต่อเนื่องของโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (megaproject) เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายนอกประเทศเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ที่ยืดเยื้อยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก แต่ก็มีปัจจัยบวกจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายดอกเบี้ย ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจเห็นการลดดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ ซึ่งหวังว่าจะช่วยลดผลกระทบของสงครามการค้าที่จะเข้ามากดดันตลาดหุ้นได้

ขณะที่ทิศทางฟันด์โฟลว์ (เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ) ในเดือน มิ.ย. 62 คาดว่าจะยังคงไหลกลับเข้ามาซื้อสุทธิต่อเนื่องจาก 2 เดือนก่อนหน้าที่ซื้อสุทธิราว 6.9 พันล้านบาท ทำให้ภาพรวมฟันด์โฟลว์ตั้งแต่ต้นปีถึง 7 มิ.ย. 62 (YTD) ซื้อสุทธิรวม 5.3 พันล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากการเมืองในประเทศที่มีพัฒนาการมากขึ้น

“ฟันด์โฟลว์ของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย net sale (ขายสุทธิ) เกือบทุกตลาด ยกเว้นตลาดหุ้นไทย เวียดนาม และอินเดีย สะท้อนว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้น 3 ประเทศนี้”

สำหรับศักยภาพของ บจ.ไทย นายศรพลกล่าวว่า จากการรวบรวมข้อมูลรายงานประจำปีของ บจ. ณ สิ้นปี 2561 พบว่ามี บจ.ออกไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยมีทั้งสิ้น 231 บริษัท เพิ่มขึ้น 5 บริษัทจากปี 2560 ซึ่งคิดเป็น 44% ของจำนวน บจ.ทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศอยู่ที่ 199,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% สูงสุดในรอบ 8 ปี และคิดเป็น 19% ของจำนวนเงินลงทุนทั้งหมดของ บจ. ส่วนรายได้ที่มาจากการออกไปลงทุนในต่างประเทศอยู่ที่ 3.08 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% ส่งผลให้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 30.9% จาก 29.4% ในปี 2560