“เมืองไทยประกันภัย” จ่อขยับเบี้ยรถป้ายแดงขึ้น 10%

แฟ้มภาพ

“เมืองไทยประกันภัย” ดิ้นขึ้นเบี้ยรถป้ายแดง 5-10% ทนรับต้นทุนค่าซ่อมสูงไม่ไหว เร่งสร้างอู่พันธมิตรคุมต้นทุน ลุยลดพอร์ตประกันรถต่ำกว่า 50% เน้นงานคุณภาพ หวังคุมลอสเรโชต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่อยู่ 65% ภายในสิ้นปีนี้ ทำใจเบี้ยรถปีนี้โตต่ำ 5% หันรุกประกันน็อนมอเตอร์แทน ลุ้นเบี้ยรวมทั้งปีโตกว่า 10%

นางปุณฑริกา ใบเงิน กรรมการรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.เมืองไทยประกันภัย (MTI) กล่าวว่า ในปี 2562 นี้ คาดว่าธุรกิจประกันภัยรถยนต์ (มอเตอร์) เบี้ยอาจจะเติบโตได้ไม่มาก เนื่องจากต้องเพิ่มความระมัดระวังในการรับประกันภัยรถ โดยบริษัทมีเป้าหมายลดสัดส่วนพอร์ตประกันรถยนต์ให้ต่ำกว่า 50% ภายในสิ้นปี หรือลดต่อเนื่องจากปลายปีที่แล้วที่สามารถลดพอร์ตมอเตอร์ลงมาอยู่ที่ 51% ได้แล้ว

ซึ่งช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา เบี้ยประกันรถยนต์ยังเพิ่มขึ้นไม่ถึง 5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นจาก “กลุ่มที่ต่ออายุประกัน” ซึ่งยังสามารถรักษาไว้ให้อยู่ระดับที่ดีอยู่ที่ราว 60-80% ของลูกค้าทั้งหมด และกลุ่มที่ซื้อประกันรถผ่านช่องทาง “อีคอมเมิร์ซ” ด้วย

ขณะเดียวกันบริษัทยังมีต้นทุนค่าสินไหม (ลอสเรโช) สูงเกินกว่า 65% ซึ่งถือว่าสูงกว่าอุตสาหกรรม โดยกลุ่มรถที่ยังน่าเป็นห่วง คือ กลุ่มรถรุ่นใหม่ป้ายแดงที่มีต้นทุนค่าซ่อมสูง และรถซ่อมห้างที่เคลมสูงเป็นปกติ แต่ขณะนี้บริษัทกำลังเดินตามแผนปรับพอร์ตมอเตอร์ทั้งกระบวนการ ไม่ว่าจะแยกกลุ่มรถประเภทซ่อมห้าง-ซ่อมอู่ พอร์ตกรุงเทพฯ-ต่างจังหวัด รวมถึงจัดการเรื่องอะไหล่และอู่ซ่อม ซึ่งบริษัทดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลัง แนวโน้มพอร์ตมอเตอร์ของบริษัทจะเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้น เพราะบริษัทจะมีการปรับราคาบางส่วนในกลุ่มที่มีผลการรับประกันไม่เข้าเกณฑ์ หรือต้นทุนค่าซ่อมสูง โดยเฉพาะรถรุ่นใหม่ป้ายแดงที่จะปรับเบี้ยขึ้นเฉลี่ย 5-10% และเชื่อว่าทั้งตลาดกำลังปรับตัว เพราะทุกบริษัทต่างประสบปัญหาด้านราคาเหมือนกัน และต่อมาสิ่งที่ต้องไปบริหารจัดการ คือ การสร้างอู่พันธมิตรเพื่อควบคุมต้นทุนให้ราคาสอดคล้องกับค่าซ่อมมากขึ้น

“การปรับพอร์ตประกันรถต้องใช้เวลาสัก 2 ปี ซึ่งเราได้เริ่มปรับมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ค่อย ๆ ทยอยลดต้นทุนค่าสินไหมลงทีละ 1-2% ทำให้ครึ่งปีหลังน่าจะเริ่มนิ่งขึ้น และส่งผลให้ลอสเรโชต่ำกว่า 65% ในสิ้นปีนี้” นางปุณฑริกากล่าว

ทั้งนี้ ทิศทางของบริษัทจะเน้นให้ความสำคัญกับพฤติกรรมคนขับรถในการพิจารณารับประกัน โดยจะดูประวัติคนขับย้อนหลัง เพราะหากขับรถดีไม่ว่าจะขับรถประเภทไหน ก็จะไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น รวมถึงดูองค์ประกอบตัวรถด้วย ซึ่งหากเป็นลูกค้ามีประวัติดี บริษัทก็จะให้ส่วนลดเบี้ยประกันภัยประวัติดี หรือหากไม่เกิดอุบัติเหตุ ก็อาจจะให้ส่วนลดเบี้ย 20-30% หากไม่มีเคลมในปีแรก

นอกจากนี้ ขณะนี้บริษัทได้เริ่มใช้ระบบกระบวนการทำงานอัตโนมัติโดยหุ่นยนต์ (robotic process automation : RPA) เข้ามาช่วยทำงานด้านไอที และงานที่ต้องใช้ข้อมูลเพื่อวิเคราะห์และแก้ปัญหา และจะค่อย ๆ นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้มากขึ้น อาทิ AI เป็นต้น

“ปีนี้เราคงเน้นโตด้านน็อนมอเตอร์ (ประกันที่ไม่ใช่รถ) โดยหันมาโปรโมตขายสินค้าที่เป็นฐานใหญ่ เช่น ประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล และประกันเดินทาง จึงคาดว่าคงจะเห็นการเติบโตมากกว่า 10% แม้ครึ่งปีแรกจะยังโตไม่ถึง แต่คงค่อย ๆ โตเพราะต้องมีการกำหนดกระบวนการภายใน ทั้งขายผ่านออนไลน์ให้ on mobile ครบวงจร” นางปุณฑริกากล่าว


อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมเบี้ยรับรวมของบริษัทในปีนี้คงเติบโตไม่ถึง 10% เพราะช่วง 5 เดือนแรกตัวเลขโตต่ำกว่า 5% โดยดูจากสถานการณ์ไตรมาสแรกมีบางโปรดักต์โตกระโดด เช่น ต้นปียอดขายประกันอุบัติเหตุและประกันสุขภาพโตเยอะ แต่พอผ่านมา 4 เดือนกลายเป็นยอดขายประกันรถยนต์เข้ามามากจากงานมอเตอร์โชว์