“มอร์นิ่งสตาร์” ชี้ผลตอบแทน “กองหุ้นสหรัฐ-จีน” ช่วง 5 เดือน พลิกฟื้นเป็นบวก 9.5% และ 9.3% ตามลำดับ ท่ามกลางปัจจัย “เทรดวอร์” กระทบกองหุ้นจีนติดลบ พร้อมเปิดโผกองที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด 3 อันดับแรก ฝั่งผู้จัดการกองทุนชี้กองหุ้นทั้ง 2 ประเทศน่าสนใจลงทุน เหตุมูลค่าปรับตัวลงมาต่ำ ขณะที่แนวโน้มกำไร บจ.เติบโตสูง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ท่ามกลางการเคลื่อนไหวของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดการเงิน โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐและจีน ขณะที่ช่วงก่อนหน้านั้น บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) หลายแห่งได้ออกกองทุนต่างประเทศ (FIF) ที่ออกไปลงทุนหุ้นในสหรัฐและจีน ซึ่งปัจจุบันกองทุน FIF ที่ลงทุนหุ้นในสหรัฐมีจำนวนรวม 23 กองทุน และกอง FIF ที่ลงทุนหุ้นในจีน 36 กองทุน
- ฟินแลนด์ระงับการให้วีซ่าแรงงานเก็บผลไม้ป่าทุกคนจากไทย
- เร่งสายสีแดง มธ.รังสิต-มหิดล ศาลายา คอนโดฯ-บ้านเดี่ยวจ่อเปิดตัวรับเทรนด์ปีมังกร
- ดร.นิเวศน์ กางโมเดลพอร์ตลงทุนใหม่ คาดผลตอบแทนปีละ 10% ทบต้น
นางสาวชญานี จึงมานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หากพิจารณาผลตอบแทนในช่วงปีนี้ (ต้นปี-31 พ.ค. 62 หรือ YTD) ของกองหุ้นสหรัฐและจีน พบว่า มีการพลิกฟื้นกลับมาดีขึ้น เนื่องจากบางช่วงมีการเจรจาออกมาเป็นเชิงบวก ส่งผลให้ภาพรวมของกองทุนกลุ่ม US equity (หุ้นสหรัฐ) ให้ผลตอบแทน YTD เฉลี่ยที่ 9.5% และกองทุนกลุ่ม China equity (หุ้นจีน) เฉลี่ยอยู่ที่ 9.3% ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการปรับตัวที่ดีขึ้น แตกต่างจากผลตอบแทนช่วง 1 ปีย้อนหลัง (1 Y) ที่ออกมาเฉลี่ย “ติดลบ” ทั้ง 2 กลุ่ม โดยกองทุนในกลุ่มหุ้นสหรัฐเฉลี่ยติดลบ 1.3% และกลุ่มกองหุ้นจีนเฉลี่ยติดลบ 13.4% ซึ่งเป็นช่วงสถานการณ์สงครามการค้ามีการตอบโต้กันรุนแรง
ทั้งนี้ ผลตอบแทนในช่วง 1 ปีย้อนหลัง ของกองทุน FIF ที่ลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐพบว่า 3 อันดับที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด ได้แก่ กองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน (K-USA) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 7.49%, กองทุนเปิดเคแทม ยูเอส โกรท อิควิตี้ ฟันด์ (KT-US-A) 4.34% และกองทุนเปิด อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด อเมริกัน โกรท ฟันด์ (ABAG) อยู่ที่ 2.78% ส่วนกองทุนหุ้นจีน ได้แก่ กองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นจีน (K-CHX) ให้ผลตอบแทนเพียง 0.54% ขณะที่กองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index (TMBCHEQ) ติดลบ 4.73% และกองทุนเปิดกรุงศรีไชน่าเอแชร์อิควิตี้-สะสมมูลค่า (KFACHINA-A) อยู่ที่ -6.65%
นางสาวชญานีกล่าวว่า หากพิจารณาทิศทางผลตอบแทนจากกองทุนหุ้นสหรัฐกับจีน ช่วง YTD พบว่า มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะกองหุ้นจีนที่สามารถพลิกฟื้นขึ้นมาเป็นบวกได้ โดยกองหุ้นจีนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ KFACHINA-A ผลตอบแทนอยู่ที่ 28.48%, กองทุนเปิดเค ไชน่า คอนโทรล โวลาติลิตี้ (K-CCTV) อยู่ที่ 22.32% และ K-CHX อยู่ที่ 20.78% ด้านกองหุ้นสหรัฐ ผลตอบแทนสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ K-USA ผลตอบแทนอยู่ที่ 18.57%, KT-US-A อยู่ที่ 12.33% และกองทุนเปิดเค หุ้นยูเอส ดัชนีเอ็นดีคิว 100-A ชนิดจ่ายเงินปันผล (K-USXNDQ-A(D)) อยู่ที่ 12.16%
“แนวโน้มการลงทุนในกองหุ้นสหรัฐ และกองหุ้นจีน เรามองว่ายังสามารถลงทุนได้ เพราะการลงทุนหุ้นสหรัฐและจีน ถือเป็นสัดส่วนการลงทุนต่างประเทศ ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนอย่างหนึ่ง แต่นักลงทุนก็ต้องพิจารณาความเสี่ยงอื่น ๆ ประกอบ ได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยน ผลกระทบจากสงครามการค้า และควรจะกำหนดสัดส่วนการลงทุนต่างประเทศให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ รวมทั้งติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและปัจจัยที่มีผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนอยู่เสมอ” นางสาวชญานีกล่าว
นายกิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ ผู้บริหารฝ่าย ฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า บริษัทมีทั้งกองที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐ และกองลงทุนในหุ้นจีน อยู่หลายกองทุน แต่กองที่มีผลตอบแทนโดดเด่น ได้แก่ กอง K-CCTV ที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม A-Share หรือหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการที่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวกลับขึ้นมาได้ในช่วงต้นปีนี้ ประกอบกับกองนี้มีการจัดพอร์ตแบบ “high convic-tion portfolio” ซึ่งจะจัดพอร์ตที่อิงกับตัวชี้วัด (benchmark) ค่อนข้างน้อย จึงทำให้สามารถคัดเลือกหุ้นที่นอกเหนือจากเบนช์มาร์กได้ และยังสามารถรักษาระดับความผันผวนให้ต่ำกว่ากองทุนหุ้นอื่น ๆ ที่ลงทุนในหุ้นจีนได้อีกด้วย จึงทำให้ผลตอบแทน YTD ของ K-CCTV ออกมาสูงกว่าเบนช์มาร์ก MSCI China A Onshore ราว 2.11%
ส่วนกอง K-USA มีผลตอบแทน YTD ปรับเพิ่มขึ้นโดดเด่นเช่นกัน และสามารถปรับขึ้นเป็นกองทุนหุ้นสหรัฐที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ได้ เนื่องจากเน้นการลงทุนในหุ้นที่เติบโตสูง (growth stock) จำนวน 30 ตัว อีกทั้งยังได้รับอานิสงส์จากการที่ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นในช่วงต้นปีนี้ด้วย ส่งผลให้ผลตอบแทน K-USA ออกมาสูงกว่าเบนช์มาร์กดัชนี S&P 500 Index ที่ 7.95%
“การลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐกับกองทุนหุ้นจีน แนะนำให้นักลงทุนปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับพอร์ตของตนเองอยู่เสมอ เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงเรื่องของสงครามการค้ายังไม่ได้ข้อสรุป” นายกิตติคุณกล่าว
นายอรรถพล กิตติอัครเสถียร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์องค์กรและบริหารผลิตภัณฑ์ บลจ.ทหารไทย กล่าวว่า บริษัทมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนทั้งกองหุ้นสหรัฐ และกองทุนหุ้นจีนว่ายังน่าสนใจลงทุน เนื่องจากช่วงปลายปี 2561 มีการเทขายหุ้นแบบ “oversold” ทั้ง ๆ ที่ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นไม่ได้เปลี่ยนแปลง หรือได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ส่งผลให้มูลค่าหุ้นช่วงนั้นไม่แพงมากและน่าสนใจลงทุน และผลประกอบการของหุ้นสหรัฐและหุ้นจีน ยังมีศักยภาพในการทำกำไรได้ค่อนข้างดี และมีการกระจายความเสี่ยงของรายได้ผ่านการทำธุรกิจทั่วโลกอีกด้วย รวมถึงธนาคารกลางและรัฐบาลของสองประเทศมีความพร้อมในการออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจเมื่อเกิดความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย
ทั้งนี้ บลจ.ทหารไทย มีกองทุนหุ้นสหรัฐ และกองทุนหุ้นจีน ได้แก่ กองทุนเปิดทหารไทย US Blue Chip Equity (TMBUSBLUECHIP) มีผลตอบแทน YTD 12.07% สูงกว่าเบนช์มาร์ก ดัชนี S&P500 Total Return 3.5% ส่วนกองทุนเปิดทหารไทย China Opportunity (TMBCOF) ผลตอบแทน 17.43% สูงกว่าดัชนี MSCI China 10/40 Net Total Return 14.98%