ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังตลาดคลายความกังวลเรื่องอุปทานน้ำมันสำเร็จรูปตึงตัว

+/- ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังโรงกลั่นน้ำมันและท่อขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปในสหรัฐฯ เริ่มกลับมาดำเนินการ คลายความกังวลในเรื่องของอุปทานน้ำมันสำเร็จรูปตึงตัว ขณะที่น้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนโยกย้ายเงินลงทุนจากตลาดน้ำมันดิบที่มีความเสี่ยงสูง และเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำแทน

+ อัตราการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันบางโรงในรัฐเท็กซัส ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับเดียวกับระดับที่เคยผลิตก่อนได้รับผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคน Harvey อย่างไรก็ตาม นักวิเคระห์คาดการณ์ว่าโรงกลั่นที่เมืองฮุสตันบางโรง อาจหยุดดำเนินการผลิตเป็นระยะเวลานาน จากผลกระทบของน้ำท่วม

+ บริษัท Colonial Pipeline ผู้ดำเนินการระบบท่อขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปรายใหญ่ เริ่มทยอยกลับมาดำเนินการผลิตอีกครั้ง หลังท่อขนส่งหยุดดำเนินการเป็นจำนวน 2 เส้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยท่อขนส่ง 1 เส้นเริ่มกลับมาดำเนินการเมื่อบ่ายวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่ท่อขนส่งอีก 1 เส้นจะเริ่มกลับดำเนินการอีกครั้งในวันนี้

– แท่นขุดเจาะน้ำมันดิบบริเวณชายฝั่งสหรัฐฯ เริ่มทยอยกลับมาดำเนินการอีกครั้ง ส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบที่หยุดดำเนินการลดลงจากมากกว่า 400,000 บาร์เรลต่อวัน เหลือเพียง 96,000 บาร์เรลต่อวัน

– เกาหลีเหนือประสบความสำเร็จในการทดสอบระเบิดไฮโดรเจนที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงและสามารถบรรจุเข้าไปในขีปนาวุธข้ามทวีปได้ สร้างความกังวลต่อผู้เล่นในตลาดน้ำมัน และเริ่มโยกย้ายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า เช่น ทองคำ

ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันและท่อการขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปบางส่วนในสหรัฐฯ เริ่มทยอยกลับมาดำเนินการอีกครั้งหลังได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ส่งผลให้ตลาดคลายความกังวลในเรื่องของอุปทานตึงตัวในสหรัฐฯ

ราคาน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากมีแรงซื้อที่ปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม อุปทานน้ำมันดีเซลในเอเชียยังคงอยู่ในระดับสูง จากความต้องการที่ปรับตัวลดลงในช่วงฤดูฝน

ไทยออยล์คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสเคลื่อนไหวในกรอบ 45-50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในกรอบ 49-54 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ปัจจัยที่น่าจับตามอง

การปรับลดลงของปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ คาดว่าจะชะลอตัว เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันดิบเพื่อกลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวลดลง หลังพายุ Harvey ทำให้โรงกลั่นน้ำมันดิบ ท่าขนส่งน้ำมันดิบ แท่นขุดเจาะน้ำมันดิบ และท่อขนส่งน้ำมันหลายแห่งต้องหยุดดำเนินการชั่วคราว นอกจากนี้ ยังมีโรงกลั่นบางโรงที่ไม่ได้ปิดชั่วคราวจำเป็นต้องลดอัตราการกลั่นลง

ติดตามพายุ Harvey ในอ่าวเม็กซิโกที่เคลื่อนตัวเข้าชายฝั่งทางทะเลทิศใต้ของรัฐเท็กซัส ซึ่งล่าสุดได้มีการปรับลดระดับจากพายุโซนร้อนเป็นพายุดีเปรสชันแล้ว ว่าจะส่งผลกระทบกระทบต่อตลาดน้ำมันเป็นระยะเวลานานหรือไม่ หลังพายุดังกล่าวส่งผลให้โรงกลั่นน้ำมัน และแหล่งผลิตน้ำมันดิบบางแห่งในสหรัฐฯ หยุดดำเนินการ และความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูป โดยเฉพาะ น้ำมันเบนซินปรับตัวลดลง โดยล่าสุดมีรายงานว่าโรงกลั่นที่ต้องหยุดดำเนินการมีกำลังการผลิตรวมกันมากกว่า 4.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งคิดเป็นราวร้อยละ 24 ของกำลังการผลิตของโรงกลั่นในสหรัฐฯ ทั้งหมด

จับตาสถานการณ์ความไม่สงบภายในประเทศลิเบีย ซึ่งส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของลิเบียปรับตัวลดลงราว 360,000 บาร์เรลต่อวัน หลังล่าสุดผู้ก่อความไม่สงบปิดท่อขนส่งน้ำมันดิบ ส่งผลให้แหล่งผลิตน้ำมันดิบทั้งหมด 3 แหล่งได้แก่ El Sharara, El Feel และ Hamada ต้องหยุดดำเนินการชั่วคราว