ประธาน​​ FETCO เชื่อ 2 ปัจจัยบวกหนุนครึ่งปีหลังตลาดทุนกลับมาคึกคัก​รับฟันด์โฟลว์แสนล้าน

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ครึ่งปีหลังถ้าเทียบกับครึ่งปีแรก มีอยู่ 2-3 ประเด็นที่เปลี่ยนแปลงไป คือ 1. เราจัดการเลือกตั้งเรียบร้อย และรายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.)จะออกมาเร็วๆ นี้ ฉะนั้นคงทำให้ความไม่แน่นอนเรื่องการเลือกตั้งของโฉมหน้ารัฐบาลใหม่ก็หมดไป 2.นโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก ที่มีการปรับเปลี่ยนมุมมองจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จากเดิมที่คาดว่าจะต้องขึ้นดอกเบี้ยเมื่อต้นปีนี้กลับมองว่าไม่ใช่แค่หยุดเฉยๆ แต่จะลดดอกเบี้ย บางสำนักวิจัยมองไปถึง 3 ครั้ง ในครึ่งปีหลัง ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนมุมมองที่เยอะมาก และถ้าดูอัตราดอกเบี้ยในตลาดของสหรัฐที่ลดลงมา 1% กว่าๆ ก็คิดว่าเฟดคงจะมีการเปลี่ยนนโยบาย รวมถึงทุกๆ ธนาคารกลางก็ได้ออกมาพูดเป็นทำนองเดียวกันคล้ายๆ ว่า ถ้าเฟดลดดอกเบี้ยก็คงลดดอกเบี้ยตามกันๆ

“เชื่อว่าคงจะได้เห็นถ้าเฟดลดดอกเบี้ยจริง คงตามมาด้วยธนาคารกลางจีน, ธนาคารกลางยุโรป และเอเชียเกือบทั้งหมด ซึ่งตรงนี้จะทำให้สถานการณ์ดอกเบี้ยผ่อนความตึงเครียดลง จากเดิมที่คิดว่าจะขึ้นก็เป็นลง ซึ่งจะช่วยเอื้อให้ตลาดทุนสามารถกลับมาคึกคักได้กว่าที่เคยมองในช่วงต้นปี” นายไพบูลย์กล่าว

ทั้งนี้อาจจะมีผลกับฟันด์โฟลว์ที่จะไหลเข้ามาในตลาดทุนบ้าง เพราะการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินจะทำให้สภาพคล่องส่วนหนึ่งที่คาดว่าถ้าดอกเบี้ยอยู่ในขาขึ้นอาจจะไม่เข้ามาซื้อ แต่เชื่อว่าเมื่อประเทศผ่านพ้นเรื่องการเมืองไปแล้ว ประกาศรายชื่อ ครม.เรียบร้อย คาดว่าจากนี้ความเสี่ยงเรื่องการเมืองในระะยะสั้นๆ หรือ 6 เดือนจากนี้ดูแล้วค่อยข้างน้อยเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลอยู่เกินแน่ในช่วงปีนี้ ฉะนั้นคงจะไม่มีเรื่องประเด็นความเสี่ยงทางการเมือง

โดยตอนนี้เห็นฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาทแล้ว ถือว่าเป็นไปตามคาด และเชื่อว่าปีนี้ทั้งปีจะมีเงินเไหลเข้ามาตามเป้าที่ 1 แสนล้านบาท ซึ่งถ้ามีการจัดตั้งรัฐบาลได้เรียบร้อยดี ขณะเดียวกันถ้าได้ตัวช่วยจากเฟดที่จะลดดอกเบี้ยในเดือนหน้าจริง เชื่อว่าจะทำให้มีเงินอีกจำนวนหนึ่งที่จะไหลเข้ามาได้

อย่างไรก็ดี ประเด็นที่ต้องติดตามคือ เศรษฐกิจโลกว่าจะชะลอขนาดไหน แต่เชื่อว่า ถ้าธนาคารกลางทุกที่ลดดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวก็น่าจะที่เพียงพอที่น่าจะช่วยให้เศรษฐกิจโลกสามารถทรงตัวได้ และอาจจะฟื้นได้ด้วย

“ตอนนี้ภาพครึ่งปีหลังถ้ามองว่าเทียบกับครึ่งปีแรก ผมว่าดูดีขึ้น” นายไพบูลย์กล่าว

ส่วนช่วงนี้ที่ทิศทางค่าบาทที่แข็งค่าขึ้นคงมีผลกระทบกับความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ดร็อปลงไปบ้าง แต่เชื่อว่าถ้าการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกจะทำให้เศรษฐกิจโลกทรงตัวได้ ซึ่งตรงนี้ก็น่าจะช่วยได้ โดยประเทศไทยคงจะไม่ได้มีปัญหาเท่าไร การเติบโตอาจจะไม่ได้สูงมาก เพราะมีความกังวลหลายเรื่อง โดยเฉพาะสงครามการค้าและการเลือกตั้ง แต่เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว มองว่าครึ่งปีหลังก็น่าจะช่วยได้มากขึ้น แต่ถ้าสงครามการค้ายังคุยกันไม่จบ ส่งออกยังติดลบ แน่นอนว่าจะต้องรับสภาพไป เพราะไทยเป็นเศรษฐกิจส่งออก ถ้าช่วงที่ส่งออกเศรษฐกิจเติบโตประเทศไทยคงจะให้กำไรโตขึ้นมากกว่านี้


อย่างไรก็ดี ปีนี้เชื่อว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตอยู่ แต่อาจจะเป็นการเติบโตในระดับเลขตัวเดียวประมาณ 5-6% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะเรื่องการชะลอตัวของส่งออกเป็นหลัก เพราะเมื่อส่งออกลดลงทำให้การจ้างงาน ค่าแรงต่างๆ ก็ลดตาม เพราะไทยเป็นประเทศส่งออก ถึงแม้ว่าบอกว่าบริษัทในตลาดไม่ได้เกี่ยวข้องขนาดนั้น แต่ว่าประเทศไทยเกี่ยวข้องมาก การจับจ่ายใช้สอยก็ไม่รื่นเหมือนช่วงที่ส่งออกโตดีๆ