เงินบาทเปิดเช้าวันนี้แข็งค่าที่ 30.88 บาทต่อดอลลาร์ กรอบค่าเงินบาท 30.85-30.95 บาทต่อดอลลาร์ นักลงทุนคาดหวัง ธปท.ลดดอกเบี้ย 0.25%
นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ ประธานนักกลยุทธ์ตลาดทุนสายงานธุรกิจตลาดเงินทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ (18 ก.ค.) ที่ระดับ 30.88 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับ 30.91 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อน
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ยูโอบี ย้ำลูกค้าบัตรเครดิตซิตี้ ยังใช้งานได้ปกติ แจงสิ่งควรรู้หลังโอนพอร์ต
โดยภาพตลาดล่าสุด เงินบาทยังคงซื้อขายตามทิศทางการเคลื่อนไหวของทองคำเป็นหลัก อย่างไรก็ดี เมื่อราคาทองปรับตัวลงแตะระดับ 1,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็มีแรงซื้อกลับขึ้นมาจึงทำให้เงินบาทไม่อ่อนค่าไปมาก
“สำหรับวันนี้คาดว่าเงินบาทมีโอกาสปรับตัวแข็งค่ากลับขึ้นได้ เนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐปิดรับความเสี่ยงในลักษณะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวลง เงินเยนแข็งค่า และราคาทองคำปรับตัวขึ้น โดยการเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าว นอกจากจะส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าแล้ว ยังจะกดดันให้ดอกเบี้ยอ้างอิงเงินบาท (THBFIX) ปรับตัวลงด้วย ล่าสุด THBFIX 6 เดือน อยู่ในระดับต่ำเพียง 1.36% สะท้อนภาพตลาดในประเทศ ที่มีความหวังว่าธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะ “ลด” ดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.25% ในปีนี้” นายจิติพลกล่าว
ทั้งนี้ กรอบค่าเงินบาทวันนี้อยู่ที่ 30.85-30.95 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
นายจิติพลกล่าวอีกว่า ในคืนที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกอยู่ในโหมดปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) หลังผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกรายงานออกมาแย่กว่าคาด ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง 0.7% เช่นเดียวกันกับดัชนี FTSE100 ของอังกฤษ และดัชนี STOXX50 ของยุโรป ที่ต่างปิดลบ 0.6%
ความกังวลดังกล่าวส่งผลให้ตลาดย้ายกลับมาพักเงินในสินทรัพย์ปลอดภัย บอนด์ยีลด์ทั่วโลกปรับตัวลงราว 4-6bps จนล่าสุดบอนก์ยีลด์สหรัฐฯอายุ 10 ปี ร่วงลงมาที่ระดับ 2.04% อีกครั้ง ดันให้ราคาทองคำพุ่งขึ้น 1.4% สู่ระดับ 1,426.3 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ
เริ่มที่ฝั่งยุโรป สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (Eurostat) เปิดเผยว่าอัตราเงินเฟ้อ (CPI) ยูโรโซนในเดือนมิถุนายนปรับตัวขึ้นจากระดับ 1.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สู่ระดับ 1.3% แต่โดยรวมอัตราเงินเฟ้อยังคงต่ำกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางยุโรปที่ระดับ 2.0%
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงาน (EIA) ประกาศ ยอดสต๊อกน้ำมันดิบคงคลัง (Crude inventories) ลดลง 3.1 ล้านบาร์เรลจากสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ยอดสต๊อกน้ำมันเบนซิน (Gasoline Inventories) กลับเพิ่มขึ้น 3.6 ล้านบาร์เรล ชี้ว่าความต้องการใช้พลังงานในสหรัฐฯลดลง
สำหรับวันนี้ มองว่าธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) จะ “คง” อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.75% แต่เชื่อว่า BOK จะลดดอกเบี้ย 0.25% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในครึ่งหลังของปีนี้
ขณะที่ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) อาจ “ลด” อัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาที่ระดับ 5.75% เช่นเดียวกับธนาคารกลางแอฟริกาใต้ (SARB) ที่จะ “ลด” อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Repurchase Rate) ลง 0.25% สู่ระดับ 6.50% และธนาคารกลางประเทศเกิดใหม่ทั่วโลกมีโอกาสที่จะลดดอกเบี้ยลงได้มากกว่านี้หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐลดดอกเบี้ยลงจริง