หุ้นไทยปิดตลาดภาคเช้าบวก5จุด ซื้อขาย2.6 หมื่นล้าน

แฟ้มภาพ

 

วันที่ 18 กรกฎาคม 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดัชนี SET เคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ แต่ก็ยืนอยู่ในแดนบวก ก่อนจะปิดตลาดภาคเช้าที่ระดับ 1,724.45 จุด บวก 5.60 จุด มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 26,183 ล้านบาท โดยมีหุ้นปรับขึ้น 702 หลักทรัพย์ ปรับลดลง 606 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 513 หลักทรัพย์

นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย (KAsset) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรฯยังคงเป้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ SET (SET Index) ปีนี้ที่ 1,750 จุด ราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ที่ 16 เท่า เนื่องจากมองว่าตลาดหุ้นไทยประคองตัวได้ด้วยสภาพคล่องในตลาดที่สูง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เตรียมปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง ส่งผลให้เงินลงทุนต่างชาติหันมาลงทุนในตลาดเกิดใหม่มากขึ้น เพื่อรับผลตอบแทนสูง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานในเรื่องของเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ขาลง รวมถึงกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปีนี้ยังถูกปรับลดประมาณการลงอย่างต่อเนื่อง

สำหรับปัจจัยในประเทศ หลังจากมีรัฐบาลใหม่ หลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ก็น่าจะเห็นการผลักดันมาตรการหรือนโยบายเร่งด่วนที่เข้มข้นขึ้น โดยหากสามารถทำนโยบายออกมาได้ดี จะกลายเป็นจุดเสริมให้ปัจจัยในประเทศ และจะช่วยหนุนให้ SET Index ช่วงปลายปี 2562 เคลื่อนไหวในกรอบ 1,700-1,800 จุดได้

“ปัจจุบัน SET Index ปรับขึ้นมาประมาณ 10% กว่า ๆ จากจุดต่ำสุดที่บริเวณ 1,600 จุด ทำให้โอกาสปรับขึ้น (upside) เหลือไม่มาก แต่จากสภาพคล่องในตลาดยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและฟันด์โฟลว์น่าจะไหลกลับเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ จากความกังวลเฟดลดดอกเบี้ย รวมถึงหากรัฐบาลใหม่สามารถจัดทำนโยบายเศรษฐกิจได้ดี จะเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยสามารถปรับขึ้นต่อได้ แต่ไม่น่าจะเกิน 1,800 จุด ในช่วงครึ่งหลังที่เหลือ” นางสาวธิดาศิริกล่าว

นายวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.พรินซิเพิล กล่าวว่า บริษัทคงเป้า SET Index ปีนี้ที่ 1,750 จุด เนื่องจาก SET Index ได้ปรับขึ้นมาประมาณ 200 จุดแล้วจากต้นปี นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังไร้ปัจจัยบวกใหม่ที่จะเข้ามาหนุน และยังมีความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอีกว่าอาจเติบโตช้าลง จากเดิมสามารถเติบโตได้ในระดับ 3% ปลาย ๆ แต่ปัจจุบันตลาดกลับคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถเติบโตได้ที่ระดับ 3% ต้น ๆ เท่านั้น


ขณะที่ตลาดหุ้นต่าง ๆ ทั่วโลกอาจใกล้ถึงจุดอิ่มตัวแล้วเช่นกัน หลังปรับขึ้นสูงถึง 15% จากต้นปี โดยเป็นการปรับขึ้นบนความคาดหวังว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยลงในปีนี้ ทำให้ในระยะสั้นตลาดหุ้นอาจเผชิญความผันผวนได้ โดยการลงทุนในช่วงนี้เพื่อตั้งรับกับภาวะตลาดที่อาจผันผวน จึงแนะนำให้ปรับน้ำหนักการลงทุน เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มปลอดภัย (defensive) และกลุ่มที่ให้เงินปันผลสูง นอกจากนี้ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นต่างประเทศมีโอกาสจะปรับฐานในระยะสั้น แนะนำให้ปรับลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงและเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นแทน