เก็งฟันด์โฟลว์เข้าตลาดหุ้น 1.5 แสนล./หนุนกองใหม่แทน LTF

บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ คาดปีนี้ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตลาดหุ้นไทย 1.5 แสนล้านบาท ชี้ครึ่งปีหลังมีแรงหนุนสำคัญ “ผลประกอบการ บจ.ฟื้นตัว-รัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ-อันดับเครดิตประเทศดีขึ้น-เปลี่ยนรัฐบาลทหารเป็นรัฐบาลพลเรือน” ปักธงเป้าหมายดัชนี SET สิ้นปีที่ 1,785 จุด หวั่นกองทุนใหม่มาทดแทน LTF ไม่ทันสิ้นปีเสี่ยงทำนักลงทุนอาจเทขาย 2.4 แสนล้านบาท

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ เปิดเผยว่า ในสิ้นปีนี้คาดว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) จะไหลเข้ามาสู่ตลาดหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 1.5 แสนล้านบาท หลังจากครึ่งปีแรกฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาแล้วประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท ภายใต้ความคาดหวังจากแรงหนุน 3-4 เรื่องหลัก ๆ ได้แก่ 1.ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (บจ.) ครึ่งปีหลังฟื้นตัวจากครึ่งปีแรก เนื่องจากไม่ต้องมีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพนักงานเกษียณอายุตาม
พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่

2.ภาพผลประกอบการบริษัทโดยรวมน่าจะดีขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังที่จะได้อานิสงส์จากการ
กระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ 3.ประเทศไทยมีโอกาสได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อถือดีขึ้น โดยต้องติดตามอีก 3 เดือนข้างหน้าว่าจะมีการปรับอันดับเครดิตเรตติ้งจาก BBB+ สู่ระดับ A หรือ A- หรือไม่ ซึ่งหากมีการปรับขึ้นก็จะได้เห็นฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาอีกมาก โดยเฉพาะไหลเข้าในตลาดหุ้นไทย

“เหตุผลใหญ่ ๆโลกมีสภาพคล่องกลับมาดีขึ้น จากการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายของธนาคารกลางหลัก ๆ ซึ่งตรงกันข้ามกับปีที่แล้ว โดยปีนี้ไม่มีการโจมตีค่าเงินในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (EM) ไม่มีการปรับเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ย ไม่มีการลดขนาดงบดุล ซึ่งปีนี้ดูจะลดดอกเบี้ยและจะยุติการลดขนาดงบดุลด้วย เราก็คาดหวังว่าจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ฟันด์โฟลว์ไหลกลับ และการที่ไทยเปลี่ยนจากรัฐบาลทหารมาเป็นรัฐบาลพลเรือนก็เป็นคีย์สำคัญ นอกจากนี้ความคาดหวังการบรรลุข้อตกลงการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนเป็นตัวที่น่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสค่อย ๆ ขยับขึ้นได้” นายประกิตกล่าว

สำหรับปีนี้บริษัทได้ประเมินเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไว้ที่ 1,785 จุด ภายใต้ EPS อยู่ที่ 104 บาทต่อหุ้น โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจคือกลุ่มสื่อสารที่มีภาพผลประกอบการจะมีพลิกกลับมาฟื้นตัว (turn around) และกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะตอบสนองต่อรัฐบาลที่มาจากพลเรือน เพราะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่รวดเร็วขึ้น รวมถึงกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องจาก EEC และกลุ่มขนส่ง ส่วนกลุ่มการเงินก็จะเป็น
กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อทั้งหลาย และกลุ่มค้าปลีกที่น่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการอัดฉีดเงินจากภาครัฐเข้าสู่มือประชาชน 3 หมื่นล้านบาทภายในไตรมาส 3 นี้

นายประกิตกล่าวด้วยว่า ส่วนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่จะหมดอายุสิ้นปีนี้ ควรจะต้องออกกองทุนใหม่ที่จะมาทดแทนให้ทันก่อนสิ้นปีนี้ เพราะถ้าออกไม่ทันน่าจะเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากจะมี LTF ที่ครบกำหนดและพร้อมขายประมาณ 2.4 แสนล้านบาท

“ถ้าเกิดไม่มีกองทุนใหม่เข้ามาต่อ ผู้ที่ถือไว้อาจจะมองว่าตลาดหุ้นไทยจะไม่มีแรงซื้อจากมาตรการหักลดหย่อนภาษีมาช่วย และอาจทำให้ตลาดหุ้นไทยตกลง จึงอาจจะตัดสินใจขายก่อน ซึ่งจะเป็นผลกระทบที่ยิ่งใหญ่และรุนแรงมาก ถ้าทุกคนพร้อมใจกันขาย แต่คาดว่ารัฐบาลคงไม่อยากเสี่ยง”
นายประกิตกล่าว

อย่างไรก็ดี นายประกิต กล่าวว่า เชื่อว่ารัฐบาลคงมีกองทุนใหม่มาก่อนสิ้นปีนี้ โดยคงไม่ใช่การต่ออายุ LTF เนื่องจากมีข้อกังขาเรื่องความเหลื่อมล้ำที่เอื้อประโยชน์คนรายได้สูง ดังนั้น ทางสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) จึงเสนอให้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุดที่ 20% ของเงินลงทุน แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท และไม่เกินภาระภาษีที่ต้องจ่าย โดยต้องลงทุนขั้นต่ำ 10 ปี