ต้องยอมรับว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในยุค “รื่นวดี สุวรรณมงคล” นั่งเลขาธิการ ก.ล.ต. เรียกความตื่นเต้น ทั้งการทำงานในองค์กรและตลาดทุน โดยเฉพาะปฏิวัติการทำงานลบภาพลักษณ์ที่เคยถูกมองเป็น “เสือกระดาษ”
ตั้งแต่การประกาศความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะการร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ให้เข้ามาร่วมทำหน้าที่ในคณะทำงานสอบสวนคดีของ ก.ล.ต. เพื่อให้กระบวนการทำงานสอบสวนดำเนินคดี “ขบวนการปั่นหุ้น” มีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น และเป็นครั้งแรกที่มีการแต่งตั้ง “วรัชญา ศรีมาจันทร์” เป็นรองเลขาธิการ ก.ล.ต. เข้ามาดูแลสายงานด้านกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมายโดยตรง
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ยูโอบี ย้ำลูกค้าบัตรเครดิตซิตี้ ยังใช้งานได้ปกติ แจงสิ่งควรรู้หลังโอนพอร์ต
ประกอบกับการบังคับใช้กฎหมายด้วย “มาตรการลงโทษทางแพ่ง” ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 5) ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 12 ธ.ค. 59 ที่ช่วยให้การบังคับคดีรวดเร็วขึ้น
“ศักรินทร์ ร่วมรังษี” ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต. เล่าว่า ช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ มีสถิติค่าปรับการดำเนินคดีทางแพ่ง 584 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ปรับอยู่ที่ 135 ล้านบาท โดยมีผู้ถูกกล่าวโทษ 22 ราย จาก 4 คดี และยังมีผู้ถูกกล่าวโทษทางแพ่งแต่ไม่ยอมจ่ายค่าปรับ ซึ่งได้ส่งฟ้องศาลแพ่งจำนวน 35 ราย รวมเงินที่ขอให้ศาลสั่งปรับสูงสุด 2,235 ล้านบาท โดยตั้งแต่การบังคับใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งมีการดำเนินคดีปรับทางแพ่งแล้ว 901 ล้านบาท (ดูตาราง)
“มาตรการลงโทษทางแพ่ง เป็นเครื่องมือที่ทำให้ ก.ล.ต. จัดการคดีอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะคดีปั่นหุ้น การใช้มาตรการลงโทษทางอาญาอย่างเดียวอาจไม่เกิดประสิทธิภาพ เพราะต้องพิสูจน์ความผิดตามหลักการจนปราศจากข้อสงสัย ซึ่งมีขั้นตอนค่อนข้างยาก ใช้เวลาในการดำเนินคดีนาน ไม่เหมาะกับคดีทางเศรษฐกิจ”
โดยกรณีปั่นหุ้นการจะพิสูจน์ว่าเป็นการซื้อขายผิดปกติ เช่น การใช้ข้อมูลอินไซด์หุ้น ซึ่งการพิสูจน์เรื่องนี้ไม่ง่าย จึงต้องใช้มาตรการทางแพ่ง
ปัจจุบันสำนักงาน ก.ล.ต. มีการดำเนินคดีความผิดต่าง ๆ ด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งมากกว่า 90% ประเภทความผิดในตลาดทุนที่สามารถใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งได้มักเกี่ยวกับความผิดเรื่องความไม่เป็นธรรมในการซื้อขายหุ้น ไม่ว่าจะเป็น 1.การเปิดเผยข้อมูลเป็นความเท็จ หรือการวิเคราะห์คาดการณ์ที่ใช้ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือนข้อมูล 2.การเอาเปรียบผู้ลงทุน เช่น การซื้อขายโดยใช้ข้อมูลภายใน (insider trading)
และ 3.การสร้างราคาหลักทรัพย์หรือปั่นหุ้น เป็นการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อขาย ไม่ว่าจะเป็นการกระทำผิดโดยคนหรือคอมพิวเตอร์ โดยการใช้ระบบ AI ซื้อขายหุ้นก็อาจเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯได้ หากมีการส่งคำสั่งในลักษณะที่เป็นเหตุให้ระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯล่าช้าหรือหยุดชะงัก ซึ่งก็จะมีการพัฒนาระบบ AI เข้ามาช่วยตรวจสอบพฤติกรรมการปั่นหุ้นเช่นกัน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ และ 4.ผู้ที่ใช้หรือยอมให้ใช้บัญชี นอมินีเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นแทน เพื่อเอาไปปั่นหุ้น
“สำหรับบทลงโทษทางแพ่งจะปรับถึง 2 เท่าของผลประโยชน์ที่ได้รับ ทั้งให้นำผลประโยชน์คืนกลับมาด้วย แต่ถ้าไม่มีผลประโยชน์จะต้องจ่ายค่าปรับขั้นต่ำ 5 แสนบาท โดยการพิจารณาจะใช้มาตรการทางแพ่งได้ต้องเป็นคณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) ซึ่งประกอบด้วย อัยการสูงสุด ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และเลขาธิการสำนักงาน ก.ล.ต. เป็นคนพิจารณา” นายศักรินทร์กล่าว
ถ้ายอมจ่ายค่าปรับจะทำบันทึกยินยอม คดีอาญาก็จะยุติ ไปด้วย แต่หากไม่ยอมก็จะไปสู่กระบวนการฟ้องศาลทั้งทางแพ่งและอาญาต่อไป
มาตรการลงโทษทางแพ่ง จึงเป็นเครื่องมือ “สำคัญ” ที่สำนักงาน ก.ล.ต. งัดมาสู้กับแก๊งปั่นหุ้น ที่เปรียบเสมือน “หนามยอกเอาหนามบ่ง” เมื่อชอบสร้างราคาก็ต้องเจอโทษปรับดับเบิล
ซึ่งในยุคที่ทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสำนักงาน ก.ล.ต. รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างพยายามชักจูงให้ประชาชนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น และเข้าถึงตลาดทุนมากขึ้น ดังนั้น ภารกิจสำคัญของ ก.ล.ต. ก็คือต้องสร้างระบบนิเวศตลาดทุนที่ดีมีคุณภาพ รวมถึงยกระดับการคุ้มครองผู้ลงทุน ที่จะถูกเอาเปรียบจากกลุ่มบุคคลต่าง ๆ ให้มากขึ้น