“เทรดวอร์-บึ้มกรุง” ป่วนหุ้นไทย ลุ้นผลงานรัฐบาลชี้ชะตาดัชนี

ล่วงเข้าสู่เดือน ส.ค. สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยต้องเผชิญปัจจัยลบหนักหน่วงอีกครั้ง

โดย “วิลาสินี บุญมาสูงทรง” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก (GBS) วิเคราะห์ว่า หุ้นไทยเจอศึก 2 ด้าน ทั้งปัญหาสงครามการค้าสหรัฐ-จีน หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่รีดภาษีเพิ่มอีก 10% ต่อสินค้าจีน มูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ ที่จะมีผล 1 ก.ย.นี้ และเหตุการณ์ระเบิดหลายจุดในกรุงเทพฯ ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน อย่างไรก็ดี รัฐบาลใหม่ยังคงเดินหน้านโยบายหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน รมว.คลังก็เตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแพ็กเกจใหญ่เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือน ส.ค.นี้

วิลาสินี บุญมาสูงทรง

“ทิศทางตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลง โดยมีแรงกดดันจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน หลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่รีดภาษีเพิ่ม โดยทางการจีนก็ได้ยืนยันดำเนินมาตรการตอบโต้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังคงส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน หลังเกิดเหตุวางระเบิดกลางกรุงหลายจุด โดยในช่วงสั้นนักลงทุนยังคงวิตกกับเหตุการณ์ระเบิด และปัญหาสงครามการค้าที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ” นางสาววิลาสินีกล่าว

ขณะที่ “วิวัฒน์ เตชะพูลผล” รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ กล่าวว่า บล.ทิสโก้คาดว่าหุ้นไทยเดือน ส.ค. 2562 จะมีแนวรับที่ 1,640-1,660 จุด และมีแนวต้านที่ 1,710-1,730 จุด แม้ว่าปัจจุบันตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับใกล้กับแนวรับแล้ว แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่ตัดสินใจเข้าซื้อหุ้น เพราะกังวลเรื่องสหรัฐจะจัดเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% ซึ่งจะส่งผลลบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลก ประกอบกับนักลงทุนคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) จะลดลงทั้งเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และเทียบกับไตรมาสก่อน

วิวัฒน์ เตชะพูลผล

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยลบเรื่องการปรับน้ำหนักดัชนี MSCI Emerging Market ที่เตรียมเพิ่มน้ำหนักหุ้นจีน A-share จาก 5% เป็น 15% ทำให้ต้องปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยลง ซึ่งคาดว่าจะทำให้เงินทุนต่างชาติไหลออกจากหุ้นไทยราว 9,000 ล้านบาท

โดย บล.ทิสโก้มองว่า ประเด็นที่ควรจับตามองจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี คือ เศรษฐกิจทั่วโลกจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่ ถึงแม้ว่าขณะนี้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และนักลงทุนทั่วโลกคาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้งในปีนี้ และ 2 ครั้งในปีหน้า แต่การลดอัตราดอกเบี้ยลงไม่ได้การันตีว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นเสมอไป

“ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ประเมินว่า ช่วงที่เหลือของปี 2562 นี้ หากนำปัจจัยสงครามการค้าสหรัฐกับจีนออกไปก่อน บนสมมุติฐานไม่มีผลกระทบเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว เนื่องจากใกล้เข้าสู่การเลือกตั้ง ซึ่งน่าจะเริ่มเข้าโหมดประนีประนอมกันได้ จึงมองว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะเริ่มเร่งออกมาตรการกระตุ้นที่ชัดเจนออกมา และเห็นหลาย ๆ กระทรวงเริ่มมีวาระงานเร่งด่วนภายใน 3 เดือนนี้ โดยต้องดูว่าจะทำผลงานได้ดีขนาดไหน จะสามารถทำให้เกิดความเชื่อมั่นในระบบได้หรือไม่ ซึ่งตรงนี้ต่างหากจะเป็นตัวตัดสินว่าตลาดหุ้นไทยจะขึ้นหรือลง

“ผมเชื่อว่ารัฐบาลน่าจะมีเม็ดเงินมากพอสมควรที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งก็น่ากระตุ้นตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลัง” นายไพบูลย์กล่าว

โดยสำหรับทิศทางเงินทุนเคลื่อนย้าย (ฟันด์โฟลว์) ต้องพิจารณาจากสภาพคล่องทั้งหมดในระบบ โดยจากการประชุมเฟดที่ผ่านมาประกาศชัดว่า จะไม่ดึงสภาพคล่องออกแล้ว ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางญี่ปุ่น มีแนวโน้มอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเข้าไปอีก ดังนั้น ถ้ามองในแง่ของสภาพคล่องทั่วโลกถือว่ายังล้นอยู่มาก ในขณะที่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ

 

ไพบูลย์ นลินทรางกูร

“ตราบใดที่สภาพคล่องยังเยอะอย่างนี้และดอกเบี้ยยังต่ำระดับนี้ นักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันแทบจะไม่มีทางเลือก ยังไงก็ต้องนำเงินเข้าสู่ตลาดหุ้น ฉะนั้นในช่วงระยะสั้น ๆ ต้องมองจังหวะการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นด้วย ไม่วู่วาม และเชื่อว่าในระยะกลางถึงระยะยาว หรือ 1-2 ปีจากนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกน่าจะอยู่ในขาขึ้น หากสภาพคล่องยังดีอยู่แบบนี้” นายไพบูลย์กล่าว

ทั้งนี้ ถ้าหากมองในมุมราคาหุ้น หรือมูลค่าที่เหมาะสม (valuation) ในทุกช่วงเทียบกับปัจจัยที่เกิดขึ้น ซึ่งวันนี้ดอกเบี้ยของไทยต่ำมาก ฉะนั้น P/E ก็ต้องสูงกว่าในอดีตเป็นธรรมดา ซึ่งก็ไม่ได้แพงเกินไปเมื่อเทียบกับประเทศอาเซียน โดยหุ้นหลาย ๆ ตัวยังถือว่ายังมี valuation ที่ยังน่าสนใจ

ส่วนกรณีที่จีนลดค่าเงินหยวน “ไพบูลย์” มองว่าไม่ได้กระทบตลาดหุ้นไทย เนื่องจากไทยยังเป็นตลาดปลอดภัยและน่าลงทุน ในขณะที่ถ้ามองพื้นฐานของจีนในแง่บัญชีเดินสะพัดก็ต่ำแทบจะติดลบ ซึ่งจริง ๆ ควรจะลดลงไปนานแล้ว เพราะส่งออกจีนก็ต่ำมาก

“แต่ที่ผ่านมาจีนประคองไว้ พอตอนนี้ปล่อยก็เลยทำให้อ่อนค่าลงมา ซึ่งไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ โดยสงครามการค้าแทบจะเบาลงหลังจากนี้ เพราะว่าประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ต้องพักรบ เนื่องจากว่าขณะนี้สหรัฐใกล้จะมีการเลือกตั้งแล้ว” นายไพบูลย์กล่าว

คงต้องติดตามกันต่อไปว่า มรสุมลูกใหม่ ๆ ที่เข้ามาในช่วงต้นเดือน ส.ค.นี้ จะส่งผลกระทบตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องไปอีกในช่วง 4-5 เดือนที่เหลือหรือไม่ ซึ่งผู้เกี่ยวข้องในตลาดทุนก็คงหวังว่า

รัฐบาลจะช่วยสร้างปัจจัยบวกให้กับตลาดได้