ปิดดีลควบรวม “ทีเอ็มบี-ธนชาต” สินทรัพย์พุ่ง 2 ล้านล. ยันไม่เลิกจ้าง

ปิดดีลควบรวม “ทีเอ็มบี-ธนชาต” จับมือแถลงแผนรวมกิจการ มูลค่ากว่า 1.5 แสนล้านบาท ดันสินทรัพย์รวมเกือบ 2 ล้านล้านบาท เปิดสัดส่วนผู้ถือหุ้นเบื้องต้น ING ถือนำ 21.3% TCAP 20.4% คลัง 18.4% สโกเทียแบงก์ 5.6% ที่เหลือส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย 34.3% คาดกระบวนการแล้วเสร็จภายในปี’64 ยืนยันไม่เลิกจ้างพนักงาน

นายจุมพล ริมสาคร รองปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การรวมกิจการครั้งนี้ สอดคล้องกับแนวคิดของภาครัฐในการส่งเสริมการรวมกิจการเพื่อเพิ่มขนาดกิจการและศักยภาพในการแข่งขัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อเสถียรภาพของสถาบันการเงินของประเทศและเศรษฐกิจไทยโดยรวม นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศให้เพิ่มการลงทุนในประเทศไทยด้วย

โดยกระทรวงการคลังพร้อมที่จะลงทุนเพิ่มเป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่า 11,000 ล้านบาท และมีสิทธิที่จะซื้อหุ้นเพิ่มเติมจากการจัดสรรตามสิทธิที่พึ่งมีในกรณีที่ผู้ถือหุ้นเดิมรายอื่นๆไม่ใช้สิทธิเต็มจำนวน เพื่อคงสถานะหนึ่งในผู้ถือหุ้นหลักเนื่องจากมีความเชื่อมั่นจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของ TMB

รวมถึงศักยภาพของ ING ที่มีส่วนผลักดันในความสำเร็จของ TMB ให้เป็นหนึ่งในธนาคารชั้นนำของไทยในปัจจุบันและมั่นใจในจุดแข็งของ TCAP ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของธนาคารธนชาตที่จะเข้ามาร่วมผนึกกำลัง เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทำให้ธนาคารมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น

ด้าน นายมาร์ค นิวมาน Managing Director, ING Challengers and Growth Markets, Asia กล่าวต่อว่า จากความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการลงทุนใน TMB ประกอบกับการพัฒนาทางด้านดิจิทัลที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในธุรกิจธนาคาร และอื่นๆ อีกมากมายทำให้ ING และ TCAP ต่างพัฒนาความเชื่อมั่นที่มีต่อกันจากกระบวนการรวมกิจการนี้ จนนำไปสู่เป้าหมายร่วมกันที่จะทำให้ธนาคารใหม่เติบโตอย่างมั่นคง และเป็นผู้นำทางด้านดิจิทัลประกอบกับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากกระทรวงการคลัง การรวมกิจการของทั้งสองธนาคารในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จตามที่คาดไว้อย่างแน่นอน

นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริการ TCAP กล่าวว่า TCAP เล็งเห็นศักยภาพและจุดแข็งจากทั้งสองธนาคาร ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่เกือบเท่าตัว มีสินทรัพย์รวมกันเกือบ 2 ล้านล้านบาท มีโครงสร้างทางธุรกิจและความชำนาญซึ่งเสริมรับซึ่งกันและกัน ธนาคารใหม่ที่เกิดขึ้นจากการควบรวมกันของทั้ง 2 ธนาคารคือธนาคารธนชาตและทีเอ็มบี ก็จะเป็นธนาคารที่มีลูกค้าเพิ่มมากขึ้นเป็นประมาณ 10 ล้านคน มีความทับซ้อนกันไม่ถึง 10%

ถือเป็นโอกาสทางการตลาดที่ใหญ่ขึ้น กว้างขวางขึ้น มีโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มมากขึ้นจากความเก่งของทั้ง 2 ธนาคารที่จะรวมกัน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในทุกฐานลูกค้าทั่วประเทศ ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนทางธุรกิจที่สูงขึ้น เป็นประโยชน์ทั้งผู้ถือหุ้น ลูกค้า รวมถึงระบบเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม ทั้งนี้ หลังจาก TCAP ได้รับชำระค่าหุ้นและเข้าซื้อหุ้นบริษัทลูก หุ้นของบริษัทที่ธนาคารธนชาตลงทุนไว้ TCAP จะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ TMB เป็นจำนวนเงินราว 44,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่า TCAP จะมีเงินสดเหลือจากการทำธุรกรรมต่างๆ เหล่านี้ประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งฝ่ายจัดการจะได้หาแนวทางในการบริหารเงินส่วนนี้ใหไดรับผลตอบแทนสูงสุดต่อไป

ขณะที่ นายฟิลิป ดามานส์ ประธานกรรมการบริหารธนาคาร TMB กล่าวว่า มีความยินดีที่ TCAP และทีเอ็มบีจะมาร่วมเป็นคณะกรรมการธนาคารแห่งใหม่ ซึ่งคณะกรรมการธนาคารทีเอ็มบีพร้อมที่จะสนับสนุนการทำงานและนโยบายของผู้บริหารธนาคารใหม่ เพื่อจะนำพาธนาคารที่เกิดจากการรวมกิจการครั้งนี้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ

ด้าน นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ TCAP กล่าวว่า TBANK จะทำการปรับโครงสร้างธุรกิจโดย TCAP จะซื้อหุ้นของบริษัทลูกกลับคืนมา ได้แก่ บริษัท ธนชาตประกันถัย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัทบริการสินทรัพย์ ที เอา จำกัด บริษัท ปทุมไรซมิล แอนด์ แกรนารี จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน)

ขณะเดียวกันสำหรับการลงทุนอื่นๆ TCAP ได้จัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicle) ประกอบด้วย SPV1 และ SPV2 เพื่อซื้อหุ้นในสัดส่วนของ TBANK กลับมายัง TCAP ได้แก่ ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) และบริษัทลงทุนอื่นๆ

ภายหลังการปรับโครงสร้างธุรกิจ TBANK จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนธนชาต จำกัด (บลจ.ธนชาต หรือ TFUND) และบริษัท ธนชาต โบรกเกอร์ จำกัด (ธนชาตโบรกเกอร์ หรือ TBROKER) ในสัดส่วน 75% และ 100% ตามลำดับ

ทั้งนี้ ในส่วนของบลจ.ธนชาตนั้น TBANK จะดำเนินการขายหุ้น 75% ที่ถืออยู่ในบลจ.ธนชาตให้แก่บุคคลภายนอก โดยคาดว่าจะสามารถขายหุ้นดังกล่าวได้สำเร็จก่อน หรือพร้อมกับการซื้อขายหุ้นระหว่างทั้ง 2 ธนาคารในครั้งนี้

ภายหลังการปรับโครงสร้างฯ แล้ว ทีเอ็มบีจะเสนอซื้อหุ้นสามัญของ TBANK จากผู้ถือหุ้นของ TBANK ทุกราย โดยจะชำระค่าหุ้นเป็ฯเงินสดและ TCAP กับ BNS จะเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ TMB รวมถึงเข้าซื้อส่วนที่ทีเอ็มบีจะเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นรายย่อยของ TBANK เพื่อให้ TCAP เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวให้แก่ผู้ถือหุ้นรายย่อยของ TBANK ต่อไปในภายหลัง

ทั้งนี้ ทาง TCAP พร้อมที่จะสนับสนุนการทำงานของทีมผู้บริการชุดใหม่เพื่อให้กระบวนการรวมกิจการสำเร็จด้วยดี

ส่วน นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทีเอ็มบี กล่าวเสริมถึงรายละเอียดในส่วนของทีเอ็มบีที่จะต้องดำเนินการว่า ภายหลังจากเงื่อนไขบังคับตามสัญญาซื้อขายหุ้นระหว่าง TCAP และ BNS สำเร็จลง TCAP และ TBANK ดำเนินการโครงสร้างฯแล้วเสร็จ และโครงการรวมกิจการครั้งนี้ได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จึงเข้าสู่กระบวนการรวมกิจการ โดยมีขั้นตอนสำคัญดังนี้

ในช่วงเดือนกันยายน ทีเอ็มบีจะจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อขออนุมัติรายการที่เกี่ยวข้องกับการรวมกิจการรวมถึงการเพิ่มทึนในการจัดหาเงินทุนเข้าเสนอซื้อหุ้นสามัญของ TBANK จากผู้ถือหุ้นของ TBANK ทุกราย

โดยทีเอ็มบีจะจัดหาเงินทุนทั้งสิ้น 130,000 ล้านบาทจากการออกหุ้นเพิ่มทุนซึ่งส่วนแรกนั้น จะเป็นการออกและเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของธนาคาร ตามใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้

อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะสามารถระดมทุนจากการออกหุ้นเพิ่มในส่วนนี้เป็นจำนวน 42,500 ล้านบาท ในส่วนที่สอง จะเป็นการออกและเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่บุคคลภายนอก และผู้ถือหุ้นเดิมของ TBANK ทุกราย ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มทุนจากสองกลุ่มหลัง เป็นจำนวน 6,400 ล้านบาท และ 57,600 ล้านบาทตามลำดับ

นอกจากการจัดหาเงินทุนโดยการออกหุ้นเพิ่มทุนแล้ว ทางทีเอ็มบีจะมีการออกตราสารหนี้ โดยการออกและเสนอขายตราสารทางการเงินที่นับเป็นกองทุนชั้นที่ 1 ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันต่างประเทศ เป็นจำนวน 9,600 – 16,000 ล้านบาท และเสนอขายตราสารด้อยสิทธิที่สามารถนับเป็นกองทุนชั้นที่ 2 ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายใหญ่จำนวน 15,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ทีเอ็มบีมีแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมจากตราสารหนี้อีกเป็นจำนวน 20,000 ล้านบาท ในกรณีที่ต้องการเงินทุนเพิ่ม ซึ่งจากการประมาณการเบื้องต้น คาดว่าโครงสร้างการถือหุ้นของธนาคาร จะมีสัดส่วน ING ถือหุ้น 21.3% TCAP ถือหุ้น 20.4% กระทรวงการคลังถือหุ้น 18.4% BNS ถือหุ้น 5.6% ปละผู้ถือหุ้นรายย่อย 34.3%

เบ็ดเสร็จแล้ว 4 ผู้ถือหุ้นใหญ่จะใช้เงินลงทุนในการดำเนินการภายใต้แบงก์ใหม่ครั้งนี้รวมเป็นเงินประมาณ 1.56 แสนล้านบาท

ส่วนประเด็นการเลิกจ้างพนักงานนั้น นายปิติ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันพนักงานทั้ง 2 ธนาคารรวมกันอยู่ที่ประมาณ 19,000 คน และหลังการควบรวมกันแล้วจะทำให้ขนาดของสินทรัพย์ที่ 2 ล้านล้านบาท ขณะที่คนยังต่ำกว่า 2 หมื่นราย นอกจากนี้ หากพิจารณาธนาคารอื่นๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่าธนาคารทีเอ็มบีและธนชาตรวมกันประมาณ 10% พบว่ามีจำนวนพนักงานมากกว่าทั้ง 2 ธนาคารรวมกันประมาณ 20-30% ดังนั้น ความจำเป็นที่จะต้องลดคนไม่น่าจะเป็นไปได้ ด้วยปริมาณลูกค้ากว่า 10 ล้านราย รวมถึงปริมาณงานที่ทับซ้อนกันอยู่ที่ประมาณ 10%


“คนคือสินทรัพย์ของเราที่เราต้องพยายามรักษาไว้ แล้วทุกวันนี้อัตราการลาออกของพนักงานในสาขาของธนาคารในช่วงเวลา 1 ปี มีมากกว่า 10% อยู่แล้ว ดังนั้น หากเราไม่จ้างเพิ่มทดแทนพนักงานที่ลาออกไปก็แทบจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่าอัตราการออกทุกวันนี้เราต้องเติมกลับตลอดเวลา” นายปิติกล่าว