บลจ.อเบอร์ดีนฯ ชี้แบงก์ชาติหั่นดบ.อีก 1 ครั้งปีนี้ช่วยพยุงศก. แนะจังหวะลงทุนตราสารหนี้อายุ 1-5 ปี

นายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ หัวหน้าฝ่ายการลงทุน-ตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนในตลาดตราหนี้ช่วง 3-6 เดือนข้างหน้านี้ มองว่าตราสารหนี้ช่วงอายุ 1-5 ปี น่าสนใจลงทุน เนื่องจากประเมินว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะดำเนินนโยบายทางการเงินในการลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง จากระดับ 1.5% ลงมาเหลือ 1.25% ในช่วงไตรมาส 4 นี้ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับ 3% ได้ แต่ทั้งนี้บริษัทได้ประเมินตัวเลขจีดีพีไว้อาจจะอยู่แค่ 2.7-2.8% เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อยังต่ำกว่า 1% ขณะที่การนำเข้ายังติดลบค่อนข้างมาก รวมทั้งภาคการส่งออกก็ยังชะลอตัวอยู่

ทั้งนี้บริษัทยังได้มีการลดน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้อายุ 10 ปีขึ้นไป เนื่องจากราคาค่อนข้างแพง ปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 ปี อยู่ที่ 1.4% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ 1.4% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 20 ปี อยู่ที่ 1.5% ซึ่งถือว่ามีความใกล้เคียงกัน หากจะต้องลงทุนระยะยาวเพื่อให้ยีลด์เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยมองว่าไม่ค่อยสะท้อนความเสี่ยงของเศรษฐกิจมากเกินกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า ดังนั้นมองว่าตราสารหนี้ระยะยาวไม่ค่อนน่าสนใจ
“สิ่งที่จะทำให้ตราสารหนี้ระยะยาวน่าสนใจ แบงก์ชาติจะต้องลดดอกเบี้ยอย่างน้อยถึง 2 ครั้ง จากระดับ 1.5% ลงไปถึง 1% หรือต่ำกว่านั้น ซึ่งมองว่าโอกาสแบบนั้นยังน้อย ทำให้บริษัทเลือก Overweight ลงทุนในตราสารหนี้อายุ 1-5 ปีมากกว่า” นายพงค์ธารินกล่าว

ส่วนทิศทางธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า คาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ซึ่งอาจจะน้อยกว่าตลาดคาดไว้ที่ 3-4 ครั้ง เนื่องจากบริษัทประเมินว่าอาจจะมีปัจจัยทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะสหรัฐจะมีการเลือกประธานาธิบดีอีกครั้งในปี 2563 ดังนั้น “ทรัมป์” คงอยากจะเป็นอีกรอบ เพราะฉะนั้นการดำเนินนโยบายหลังจากนี้จะต้องส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ ฉะนั้นคาดว่าในช่วงไตรมาส 1-2 ของปี 2563 ทาง

“ทรัมป์” จะลดความดุดัน (Aggressive) หรืออุปนิสัยจะไม่ค่อยผันผวนนัก ทำให้ทิศทางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนจะเบาลง แม้ว่าตลาดจะคาดการณ์ว่า “ทรัมป์” จะไม่หยุด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในเชิงลบค่อนข้างรุนแรง แต่อย่างไรก็ดีบริษัทประเมินว่าปีนี้น่าจะเป็นปีสุดท้ายที่ “ทรัมป์” จะพยายามตอบโต้จีน โดยการลดดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้ง ซึ่งก็น่าจะพอแล้ว

“ตลาดค่อนข้าง bearish ในช่วง 1 ปีข้างหน้า คาดว่าดอกเบี้ยของสหรัฐจะเหลือ 1% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.25% คือเฟดจะต้องลดอกเบี้ยอีก 5 ครั้ง ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ โดยภาพรวมเศรษฐกิจจะไม่แย่มากจนเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) จนต้องลดดอกเบี้ยลงเหลือ 1% ตามที่ตลาดคาดการณ์จากเรื่องของการเมือง”
ส่วนทิศทางค่าเงินบาทสิ้นปีนี้คาดว่าเงินบาทยังแข็งค่าอยู่ที่ 30.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

นายออเสน การบริสุทธิ์ หัวหน้าฝ่ายการลงทุน-ตราสารทุน บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชีนตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีนี้จะแกว่งตัวอยู่ในแดนบวกสลับลบประมาณ 5% จากระดับดัชนีปัจจุบันที่ประมาณ 1,650 จุด หรือแกว่งตัวในกรอบ 1,570-1,730 จุด ซึ่งเป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ที่ยังมีปัจจัยกดดันและความไม่แน่นอนจากสถานการณ์สงครามทางการค้า และความไม่แน่นอนของการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit) รวมทั้งความขัดแย้งระหว่างประเทศต่างๆ โดยตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค แม้ว่าช่วงไตรมาส 2/62 บริษัทจดทะเบียนไทยจะมีการตั้งสำรองการเกษียณอายุของพนักงานตามกฎหมายแรงงานฉบับใหม่ แต่ภาพรวมกำไรบริษัทยังเติบโตดีตามการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์หรือ IAA Consensus ที่คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนปีนี้จะโตราว 11% และปีหน้าเติบโต 10% ขณะที่ P/E จะอยู่ที่ 15 เท่า และปีหน้า P/E อยู่ที่ 14 เท่า

“ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงถือเป็นโอกาสลงทุน มองกลุ่มที่น่าสนใจได้แก่ วัสดุก่อสร้าง, ค้าปลีก ที่จะได้ผลบวกจากนโยบายรัฐบาลเดินหน้าและภาคเอกชนเริ่มลงทุน รวมถึงกลุ่มโรงพยาบาลที่ยังมีแนวโน้มดีต่อเนื่องและเข้าสู่ช่วงหน้าฝน”