สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เผย เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้า เพิ่มขึ้น 8.64% อยู่ในโซนทรงตัวเป็นเดือนที่ 2 หลังนักลงทุนคาดหวังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์สงครามการค้าที่ยืดเยื้อและลุกลามไปประเทศอื่น และส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคชะลอตัวและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO) กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ธันวาคม 2562) อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” (Neutral) (ช่วงค่าดัชนี 80 – 119) โดยเพิ่มขึ้น 8.64% มาอยู่ที่ระดับ 111.62 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปัจจัยในประเทศ ที่นักลงทุนมีความคาดหวังต่อนโยบายภาครัฐที่ทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รองลงมาคือภาวะเศรษฐกิจและการไหลเข้าออกของเงินทุน
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- อย. เตือนอย่าซื้อผลิตภัณฑ์ CDS มาทาน อันตรายถึงชีวิต
- แห่ขายที่ดินพ่วงโรงงาน เอกชนถอดใจ-สินค้าจีนตีตลาด
แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังคงมีความกังวลปัจจัยต่างประเทศ จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่จะมีความยืดเยื้อ แม้ว่าทิศทางการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนจะคลี่คลายลงในช่วงนี้ก็ตาม แต่เป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด โดยรองลงมาคือความกังวลผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
สำหรับปัจจัยทางเศรษฐกิจโลกที่ต้องติดตาม คือความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่จะมีขึ้นในช่วงต้นวันที่ 10-11 ต.ค.รวมทั้งแนวโน้มการพิจารณา Brexit ภายหลังศาลสูงของอังกฤษตัดสินให้เปิดการประชุมสภาทำให้ลดความเสี่ยงการพิจารณา No-Deal Brexit ภายในวันที่ 31ต.ค.62 นี้
และทิศทางความต่อเนื่องของนโยบายผ่อนคลายเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐภายหลังการลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 2 ในรอบปี รวมถึงนโยบายของอียูที่ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและออกมาตรการ QE เพิ่มเติม ขณะที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศของภาครัฐ การพิจารณาร่าง พรบ.งบประมาณและมุมมองอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้าเป็นปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตาม
แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังคงมีความกังวลปัจจัยต่างประเทศ จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ส่อว่าจะมีความยืดเยื้อไม่แน่นอน แม้ว่าทิศทางการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะคลี่คลายลงในช่วงนี้ก็ตาม เป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด รองลงมาคือกังวลผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน
สำหรับปัจจัยทางเศรษฐกิจโลกที่ต้องติดตาม คือ ความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่จะมีขึ้นในช่วงต้นเดือนต.ค. ,แนวโน้มการพิจารณา BREXIT ภายหลังศาลสูงของอังกฤษตัดสินให้เปิดการประชุมสภาทำให้ลดความเสี่ยงการพิจารณา No-Deal BREXIT ภายในวันที่ 31ต.ค.62 ,ทิศทางความต่อเนื่องของนโยบายผ่อนคลายเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐภายหลังลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 2 ในรอบปี รวมถึงนโยบายของอียูที่ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและออกมาตรการ QE เพิ่มเติม ขณะที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศของภาครัฐ การพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณและมุมมองอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้า เป็นปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตาม
โดยหมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค (ENERG) หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดธุรกิจเหล็ก (STEEL) ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ นโยบายภาครัฐ ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ