โบรกฯ หวั่นเงินไหลเข้ากองทุน SEF น้อยกว่า LTF

นายภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า กระแสเงินไหลเข้ากองทุนหุ้นยั่งยืน (SEF) จะน้อยกว่ากองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) โดยบริษัทประเมินว่าเม็ดเงินจะหายไปประมาณ 5,000 ล้านบาท เนื่องจากประมาณการจำนวนผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลมีประมาณ 10.3 ล้านคน ทำให้คาดว่ากระแสเงินไหลเข้ารวม SEF จะอยู่ที่ 29,500 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ LTF ที่เงินไหลเข้าปีละ 34,000 ล้านบาท จากจำนวนเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดที่น้อยลงจากเดิม LTF อยู่ที่ 5 แสนบาท เทียบกับ SEF อยู่ที่ 2.5 แสนบาท โดยในส่วนคนที่ฐานภาษีสูงคือ 30-35% บริษัทคาดว่าช่องว่างดังกล่าวจะเริ่มแคบลงเนื่องจากโดยปกติแล้วจำนวนผู้มีหน้าที่เสียภาษีที่อยู่ในโครงสร้างภาษีระดับกลางจะเพิ่มขึ้นเร็ว

“คนที่ฐานภาษีระดับกลางจะโตเร็วกว่าคนที่ฐานภาษีสูง ดังนั้น Gap ที่หายไป 5 พันล้านบาทคงจะค่อยๆ กลับคืนมาในอนาคต” นายภาสกรกล่าว

โดยนโยบายการลงทุนใหม่ในกองทุน SEF จะทำให้หุ้นที่อยู่ในดัชนี THSI และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานจะเป็นผู้ได้ประโยชน์หลักในการเปิดขายกองทุน SEF แทน LTF ซึ่งหุ้นที่จะเข้ามาอยู่ในดัชนี THSI ได้จะต้องผ่านหลักเกณฑ์คือ 1.ต้องเป็นหุ้นที่ผ่านหลักเกณฑ์ ESG ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2.มีมาร์เก็ตแคปไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท และ 3.ผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ไม่น้อยกว่า 20% โดยปัจจุบันมีกองทุนสาธารณูปโภค 8 แห่งที่อยู่ในดัชนี THSI ได้แก่ JASIF, TFFIF, SUPEREIF, BTSGIF, BRRGIF, ABPIF, DIF, EGATIF ซึ่งบริษัทวิเคราะห์หุ้นทั้ง 8 ตัวอยู่ด้วยในขณะนี้

ขณะที่หุ้นเสียประโยชน์จากนโยบายการลงทุน SEF คือหุ้นที่ไม่อยู่ในดัชนี THSI แต่คาดว่าจะมีการเพิ่มรายชื่อหุ้นเข้าไปในลิสต์รายชื่อของดัชนี THSI อีกในเร็ววันนี้เช่นเดียวกับจำนวนหุ้นในดัชนี THSI Index

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการและหัวหน้าสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า กองทุน SEF ที่ปรับหลักเกณฑ์ใหม่ให้สามารถลงทุนได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้หรือไม่เกิน 250,000 บาท และจะต้องลงทุนในหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 65% ในหุ้นที่มีความยั่งยืน หุ้นธรรมาภิบาล และหุ้นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนสิทธิการลดหย่อนภาษีขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐมนตรีคลัง

ทั้งนี้ด้วยเกณฑ์การลงทุนของ SEF คาดว่าจะส่งผลให้หุ้นที่อยู่ในดัชนีTHSI ของตลาดหลักทรัพย์มีโอกาสได้รับการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนจากกองทุน จากเดิมมีหุ้นให้เลือกลงทุนถึง 780 บริษัท แต่ตามหลักเกณฑ์ใหม่ของกองทุน SEF จะเหลือหุ้นให้ลงทุนเพียง 53 บริษัทจากดัชนี THSI และมี 8 กองทุนโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น

ขณะที่เม็ดเงินลงทุนในกรณีที่มีกองทุน SEF คาดว่าจะมียอดซื้อเข้ามาในระบบประมาณ 3.3 หมื่นล้านบาทต่อปี ลดลงจากปกติที่มียอดซื้อ LTF ประมาณ 6.6 หมื่นล้านบาท เนื่องจากหลักเกณฑ์ใหม่มีการปรับเพดานลงทุนลดลงจากเดิม โดยบริษัทได้คัดเลือกหุ้น 20 บริษัทที่มีโอกาสเพิ่มน้ำหนักการลงทุนสูงสุด