ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง หลังยอดค้าปลีกสหรัฐหดตัวครั้งแรกในรอบ 7 เดือน

แฟ้มภาพ

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม 2562 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (17/10) ที่ระดับ 30.35/37 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดในวันพุธ (16/10) ที่ระดับ 30.40/42 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลง หลังเมื่อวาน (16/10) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ได้เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกปรับตัวลดลงร้อยละ 0.3 ในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 7 เดือน และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 โดยการปรับตัวลดลงของยอดค้าปลีกเป็นสัญญาณว่าการใช้จ่ายผู้บริโภคที่เคยเป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานั้นกำลังชะลอตัวลง ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนมีมุมมองว่ามีโอกาสสูงขึ้นที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมรอบเดือนตุลาคม เพื่อหนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย

นอกจากนี้เมื่อวาน นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโก เปิดเผยว่าเฟดกำลังพิจารณาเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก โดยดูจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อแนวโน้มของเศรษฐกิจสหรัฐ อีกทั้ง ธนาคารกลางสหรัฐได้เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ “Beige Book” เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวเล็กน้อยในเดือนกันยายน จนถึงช่วงต้นเดือนตุลาคม ขณะที่บริษัทเอกชนจำนวนมากมีมุมมองเป็นลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงหลายเดือนข้างหน้า โดยรายงานดังกล่าวถือเป็นสัญญาณล่าสุดที่บ่งชี้ว่า นโยบายการค้าของสหรัฐยังคงส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศ

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เปิดเผยว่า ข้อตกลงการค้ากับจีนนั้น อาจจะไม่มีการลงนามกันจนกว่าตนเองจะประชุมร่วมกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในการประชุมสุดยอดเอเปค ซึ่งจะจัดขึ้นที่ประเทศชิลีในเดือนพฤศจิกายนนี้ พร้อมกับกล่าวว่าจีนได้เริ่มซื้อสินค้าเกษตรสหรัฐแล้ว และข้อตกลงการค้าบางส่วนที่ได้มีการประกาศไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการอย่างเป็นทางการด้านเอกสาร ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 30.31-30.38 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 30.32/34 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร ค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้าวันนี้ (17/10) ที่ระดับ 1.1080/82 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดเมื่อวันพุธ (16/10) ที่ระดับ 1.1033/35 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินยูโร ปรับตัวแข็งค่าขึ้น ขณะที่นักลงทุนจับตาดูการประชุมสุดยอดผู้นำยุโรปที่จะจัดขึ้นในกรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยียม ในคืนนี้เป็นคืนแรก โดยนักลงทุนมุ่งความสนใจไปในประเด็นเกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างอังกฤษและสหภาพยุโรป โดยมีสัญญาณว่า ทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ หลังจากที่มีความก้าวหน้าเกี่ยวกับมาตรการควบคุมชายแดนไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร กับสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นรัฐสมาชิกของสหภาพยุโรป อย่างไรก็ตามระหว่างวัน (17/10) พรรคสหภาพประชาธิปไตยแห่งไอร์แลนด์เหนือ (DUP) ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอังกฤษแถลงว่า ทางพรรคยังไม่ยอมให้การสนับสนุนแผนการของรัฐบาลอังกฤษ ในประเด็นของข้อตกลงในการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ซึ่งเดินทางไปประชุมกับสหภาพยุโรปในวันนี้ เพื่อขออนุมัติข้อตกลง ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.1067-1.1137 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.1118/20 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน ค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (17/10) ที่ระดับ 108.69/71 เยน/
ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดตลาดเมื่อวันพุธ (17/10) ที่ระดับ 108.63/65 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินเยนโดนเทขายจากการลดการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่นักลงทุนมีความหวังว่าสหราชอาณาจักร จะบรรลุข้อตกลง Brexit กับสหภาพยุโรปก่อนสิันเดือนตุลาคม ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 108.63-108.93 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 108.74/75 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ

ดัชนีสำคัญทางเศรษฐกิจ ในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ (17/10), ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านสหรัฐ (17/10), การอนุญาตก่อสร้างเดือนกันยายน (17/10) และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนกันยายนจาก Conference Board (18/10)


สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -0.70/-0.40 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยง ภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศ อยู่ที่ 0.95/1.60 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ