ความเห็นที่แตกต่างว่าด้วยเรื่อง Global Recession

คอลัมน์ เลียบรั้วเลาะโลก

โดย ขวัญใจ เตชเสนสกุล EXIM BANK

ความคิดเห็นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกจากนักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักในปัจจุบันมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับ “ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย” หรือ “global recession” โดยหลายสำนัก อาทิ องค์การสหประชาชาติ (UN) และ Goldman Sachs มองว่า เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในระยะอันใกล้ ขณะที่บางสำนัก อาทิ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และ Robert Shiller นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล กลับมองว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกโดยรวมมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยค่อนข้างน้อย ทั้งนี้ ความคิดเห็นต่อภาวะ global recession ที่แตกต่างกันดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัจจุบันยังไม่มีนิยาม หรือคำจำกัดความของ global recession ที่ชัดเจน ซึ่งทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน ทำให้มุมมองต่อ global recession ของนักเศรษฐศาสตร์แต่ละสำนักแตกต่างกัน โดยหากพิจารณานิยามของ global recession ที่มีการพูดถึงกันในปัจจุบันพบว่า มีอยู่ 3 แนวคิดหลัก ได้แก่

o เศรษฐกิจเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (Q-O-Q) หดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน ถูกคิดขึ้นโดย Julius Shiskin นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี 2517 ซึ่งปัจจุบันถือเป็นเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่นิยมใช้แพร่หลายที่สุด และมักเรียกภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามรูปแบบดังกล่าวว่า เป็นการถดถอยทางเทคนิค หรือ “technical recession” ซึ่งแม้แนวคิดดังกล่าวจะไม่สามารถชี้ให้เห็นถึงภาวะ global recession ได้โดยตรง เนื่องจากยังไม่มีหน่วยงานใดจัดทำตัวเลข GDP โลกรายไตรมาสอย่างเป็นทางการ แต่ก็นิยมประเมิน global recession ในเบื้องต้นจาก GDP รายไตรมาสของ 3 ประเทศเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ สหรัฐ EU และญี่ปุ่น ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจรวมกันกว่า 50% ของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจากตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดของทั้ง 3 ประเทศ พบว่ายังไม่มี GDP ของประเทศใดหดตัวในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี 2562 แต่เริ่มมีทิศทางชะลอลงบ้าง สะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะชะลอตัว แต่ยังไม่มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เมื่อพิจารณาตามแนวคิดดังกล่าว

o ดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจสำคัญในมิติต่าง ๆ หดตัวต่อเนื่องพร้อมกัน ถูกคิดขึ้นโดย National Bureau of Economic Research ของสหรัฐ โดยดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจที่จะนำมาใช้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจถดถอย ได้แก่ ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ยอดค้าปลีก และอัตราว่างงาน เป็นต้น ซึ่งหากดัชนีชี้วัดต่าง ๆ ดังกล่าวหดตัวพร้อมกัน เป็นระยะเวลา 2-3 เดือนติดต่อกัน จะถือว่าเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทั้งนี้ หากพิจารณาดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจดังกล่าวของสหรัฐ EU และญี่ปุ่น พบว่า ทั้งสหรัฐ EU และญี่ปุ่น เริ่มมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย สะท้อนถึงความเสี่ยงที่จะเกิด global recession ที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน

o ผลผลิตต่อหัวของประชากรโลกหดตัว (world per capita output) ถูกคิดและนำไปใช้เป็นเครื่องชี้ภาวะ global recession โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ทั้งนี้ IMF คาดการณ์ world per capita output ในปี 2562 และ 2563 ว่าจะขยายตัว 2.1% และ 2.4% ตามลำดับ สะท้อนว่าเศรษฐกิจโลกยังไม่มีแนวโน้มจะเข้าสู่ภาวะถดถอยแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม นิยามภาวะเศรษฐกิจถดถอยของ IMF ดังกล่าว ยังไม่เป็นที่นิยมอ้างอิงแพร่หลายนัก เนื่องจากการคำนวณ world per capita output มีความซับซ้อนและยุ่งยาก

แม้ปัจจุบันยังไม่มีแนวคิดใดที่สามารถชี้ชัดถึงการเกิด global recession ได้ แต่ก็นับเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ส่งออกในการนำมาใช้ติดตามภาวะเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าสำคัญ เพื่อที่ผู้ประกอบการจะได้วางแผนและปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ และป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที

Disclaimer : คอลัมน์นี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความคิดเห็นของ EXIM BANK