ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดทุนสายงานธุรกิจตลาดเงินทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ (11 พ.ย.) “อ่อนค่า” มาที่ระดับ 30.38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อนที่ระดับ 30.36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ กรอบเงินบาทวันนี้อยู่ระหว่าง 30.35-30.45 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่กรอบเงินบาทรายสัปดาห์อยู่ที่ 30.20 – 30.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ ประเมินว่าประเด็นที่ตลาดจะให้ความสำคัญในสัปดาห์นี้ (11-15 พ.ย.) คือทิศทางของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนกับตัวเลขเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ทั่วโลก
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 1 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- ออมสิน ฉลองครบวาระ 111 ปี จัดเต็ม สลากออมสินลุ้นรางวัลใหญ่ 111 ล้านบาท
โดยสังเกตได้จากตลาดหุ้นแทบทุกที่ของโลกปรับตัวขึ้นทันทีที่มีข่าวว่าการเจรจาการค้ามีโอกาสเกิดขึ้น และปรับตัวลงทันทีที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาให้สัมภาษณ์ว่าไม่ได้มีความตั้งใจที่จะยกเลิกภาษีทั้งหมดกับจีน
ขณะเดียวกัน ในวันจันทร์ (11 พ.ย.) ก็จะมีการรายงานตัวเลขการขยายความของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ญี่ปุ่นไตรมาสที่สาม คาดว่าจะขยายตัว 0.8% จากไตรมาสก่อนจากการบริโภคภาคเอกชนที่กักตุนสินค้าก่อนหน้าการขึ้นภาษีซื้อในญี่ปุ่น
นอกจากนี้ ฝั่งสหรัฐ ในวันพุธ (13 พ.ย.) จะมีการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ (Core CPI) คาดว่าจะปรับตัวขึ้น 0.2% จากเดือนก่อนหรือคิดเป็นการปรับตัวขึ้น 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยส่วนหนึ่งมาจากผลของการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน
ขณะที่วันพุธถึงพฤหัส (13-14 พ.ย.) ประธานเฟด นายเจอโรม พาวเวล มีกำหนดขึ้นให้แถลงการกับสภาทั้งเรื่องเศรษฐกิจและงบประมาณของสหรัฐ ซึ่งน่าจะถูกกดดันให้ใช้นโยบายการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น
ข้ามมาฝั่งจีน ในวันพฤหัส (14 พ.ย.) จะมีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจรายเดือน คาดว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจะขยายตัว 5.5% จากปีก่อน ขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์คงทนจะขยายตัวระดับ 5.4% และตัวเลขค้าปลีกน่าจะขยายตัว 7.8% ถือว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนทรงตัวในช่วงที่ผ่านมา
ดร.จิติพล กล่าวว่า ส่วนของเงินบาทถือว่าปรับตัวอ่อนค่ามาตลอดในช่วงสัปดาห์ก่อน แรงหนุนหลักมาจากทั้งการลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย และเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก
“ในสัปดาห์นี้ เรามองภาพตลาดการเงินที่เปิดรับความเสี่ยง (Risk On) พร้อมกับผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) สหรัฐที่ปรับตัวสูงขึ้น จะสร้างแรงกดดันให้นักลงทุนลดการถือครองเงินบาทลง จุดที่ต้องระวังคือการเจรจาการค้าที่อาจพลิกไปมาได้ ถ้าสุดท้ายไม่มีข้อตกลงเกิดขึ้น เงินหยวนรวมไปถึงสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ก็อาจอ่อนค่ากลับ เช่นเดียวกันถ้าบอนด์ยีลด์สหรัฐปรับตัวขึ้นต่อ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นเงินบาทอ่อนค่าขึ้นตาม” ดร.จิติพลกล่าว