โบรกฯ เชียร์ซื้อ “IVL-TU” อานิสงส์สงครามการค้าพลิกบวก-ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสฟื้นตัว

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้าวันที่ 6 ธ.ค.62 ว่า ฝ่ายวิจัยกลับมามีมุมมองเป็นกลางถึงบวก โดยคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ระดับ 1,575-1,580 จุด โดยมีปัจจัยหนุน ได้แก่ 1) สถานการณ์ของสงครามการค้าที่พลิกกลับมาเป็นบวก หลังมีกระแสข่าวว่าจีนกับสหรัฐจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกได้ก่อนวันที่ 15 ธ.ค.62 ซึ่งเป็นวันที่สหรัฐประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่ มูลค่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์ ในอัตราภาษีเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 15%

และ 2) สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มเป็นบวกหลังวานนี้กลุ่ม OPEC มีมติเสนอให้ลดกำลังการผลิตเพิ่มอีก 5 แสนบาร์เรลต่อวัน แต่ต้องรอที่ประชุมร่วมระหว่าง OPEC+Non OPEC ในวันนี้ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ หากเห็นด้วยมีโอกาสที่ราคาน้ำมันดิบ WTI จะเพิ่มขึ้นทะลุ 60 ดอลลาร์/บาร์เรล ดังนั้น วันนี้หุ้นกลุ่มที่อิงกับปัจจัยต่างประเทศ (Global Play) น่าจะกลับมาเป็นที่สนใจของนักลงทุนอีกครั้ง อาทิ กลุ่มธุรกิจน้ำมัน โรงกลั่น และปิโตรเลียม รวมไปถึงกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าเกษตรที่ได้ผลบวกจากค่าเงินบาทอ่อนค่า

โดยหุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) ราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ 32.00 บาท ให้ราคาเป้าหมาย 45.00 บาท โดยสถานการณ์สงครามการค้าที่พลิกกลับมาเป็นบวกน่าจะส่งผลดีต่อบรรยากาศ (sentiment) การลงทุนของหุ้นกลุ่ม Global play โดยเฉพาะ IVL ซึ่งราคาเมื่อวันพุธ (4 ธ.ค.62) ร่วงแรงกว่า 4% จึงมีโอกาสที่จะฟื้นตัวกลับมาในวันนี้ ด้านผลประกอบการฝ่ายวิจัยยังคาดหวังผลบวกจากการเข้าซื้อธุรกิจและสินทรัพย์บางส่วนจากบริษัท Huntsman Corporation ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าจะช่วยหนุนให้กำไรของ IVL สูงขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 1/63 เนื่องจากดีล Hunstman จะเพิ่มกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA) ให้ IVL ประมาณ 20% ในปีหน้า

ส่วนหุ้นเด่นถัดมาแนะนำ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ราคาปิดล่าสุดที่ 13.30 บาท แนะนำซื้อเก็งกำไรโดยให้ราคาเป้าหมายที่ 18.10 บาท โดยมองว่าราคาหุ้นได้ร่วงแรงสะท้อนข่าวร้ายไปมากแล้ว จึงมีความเสี่ยงด้านต่ำ (Downside Risk) เริ่มจำกัด รวมถึงวันนี้ได้ sentiment บวกจากที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ และค่าเงินยูโร หนุนให้รายได้เมื่อแลกเป็นเงินบาทเพิ่มขึ้น ขณะที่สถานการณ์ของต้นทุนปลาทูน่ายังทรงตัวอยู่ในระดับ 900 ดอลลาร์/ตัน หนุนอัตรากำไรให้เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นตัวอื่นๆ ยังแนะนำให้เลือกลงทุนรายตัว (Selective Buy) ในกลุ่มที่อิงกับปัจจัยในประเทศ (Domestic Play) ได้แก่ AOT, ADVANC, INTUCH, BTS และ BEM กลุ่มที่คาดว่างบไตรมาส 4/62 จะเติบโตขึ้น ได้แก่ GPSC, CPF, ERW, TASCO, EPG, SAWAD, MTC, JMT, BCH และ CHG และสุดท้ายกลุ่มหุ้นปันผล (Dividend Stock) ได้แก่ KKP, TISCO และ TTW