“โกลเบล็ก” มองศึกนอก-ในประเทศทำหุ้นไทยผันผวนยาว แนะลงทุนหุ้นเป้าหมายของกองทุน LTF

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS เปิดเผยว่า บล.โกลเบล็กประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจัยต่างประเทศที่ยังคงกดดัน โดยเฉพาะการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ซึ่งต้องจับตาว่าในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ สหรัฐจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนรอบใหม่หรือไม่หลังจากจีนเปิดเผยว่าซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐมากขึ้น 13 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนระหว่างเดือน ก.ย. – พ.ย. 2562 และสื่อรายงานว่าสหรัฐมีแนวโน้มที่จะชะลอการเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นต่อสินค้าที่นำเข้าจากจีน แต่เจ้าหน้าที่สหรัฐยืนยันว่าพร้อมเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น และมีปัจจัยลบที่เพิ่มใหม่จากสัปดาห์นี้สภาผู้แทนฯสหรัฐเตรียมลงมติถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ในข้อหาใช้อำนาจในทางมิชอบและขัดขวางสภาคองเกรสในการปฏิบัติหน้าที่

อีกทั้งปัจจัยในประเทศด้านสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความเปราะบางจากคะแนนเสียงของพรรคฝ่ายรัฐบาลมีคะแนนเสียงมากกว่าพรรคฝ่ายค้านไม่มากนัก และกรณีการปรับอัตราค่าจ้างมีมติปรับขึ้นค่าแรงปี 2563 ทั่วประเทศ 5-6 บาท เตรียมเสนอเข้าที่ประชุม ครม. หากได้รับอนุมัติจะมีผล 1 มกราคม 2563 กดดันผลประกอบการธุรกิจที่ใช้แรงงานในสัดส่วนสูง จึงคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ 1,540-1,570 จุด

นอกจากนี้ยังคงต้องจับตาผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐวันที่ 10-11 ธ.ค. การเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ย. ในวันที่ 11 ธ.ค. ของสหรัฐ รวมทั้งการรายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) แถลงมติอัตราดอกเบี้ย (เช้าวันที่ 12 ธ.ค.) และวันเดียวกันทาง อียู เปิดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค. ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย สหรัฐ เปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ย. ส่วนวันที่ 13 ธ.ค. จีน เปิดเผยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเดือนพ.ย. และยอดปล่อยกู้สกุลเงินหยวนเดือนพ.ย. สหรัฐ เปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนพ.ย. ราคานำเข้าและส่งออกเดือนพ.ย. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนต.ค. และวันที่ 15 ธ.ค. กำหนดวันที่สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนรอบใหม่มีผลบังคับใช้

สำหรับการรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้น 266,000 ตำแหน่ง ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ระดับ 187,000 ตำแหน่ง และอัตราการว่างงานลดลงเหลือ 3.5% ต่ำสุดในรอบ 50 ปี และกรณีที่กระทรวงการคลังอนุมัติเพิ่มทุน 1.5 หมื่นล้านบาทให้กับ EXIM เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลภาคส่งออกของไทยให้สามารถแข่งขันได้ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกผันผวน ประกอบกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ที่ได้เปิดเผยแผนงานปี 2563 เร่งเปิดประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงและรถไฟทางคู่มูลค่ารวมราว 1.4 แสนล้านบาทนั้น ถือว่ายังไม่สามารถทำให้ดัชนีฟื้นตัวได้ในระยะนี้

ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้น mai เด่นในเดือนธันวาคม 2562 จากคาดการณ์งบ Q4 จะออกมาสดใสชู TACC, TNP, JUBILE และหุ้น Defensive Stock ชู TTW, BH, BCPG, BEM รวมทั้งหุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายของกองทุน LTF ชู AOT, CPALL, PTT, ADVANC และ BBL