บลจ.เตรียมปัดฝุ่นกองทุนเก่าขายเป็นกองทุน SSF

“วศิน” ชี้หลักเกณฑ์กองทุนใหม่เปิดกว้างลงทุนได้ทุกสินทรัพย์ เชื่อบลจ.ปัดฝุ่นกองทุนเดิมออกขายใหม่ต้นปีหน้า รอหลักเกณฑ์ ก.ล.ต.ชัด-เตรียมระบบหลังบ้านรองรับการเชื่อมต่อกับสรรพากร เก็งนักลงทุนซื้อกอง SSF ตราสารหนี้ เหตุแนวโน้มหุ้นไทยไม่สดใส

นายวศิน วณิชย์วรนันต์ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย เปิดเผยความคืบหน้าในการจัดตั้งกองทุนรวมเพื่อการออม (กองทุน SSF) ว่า ปัจจุบันต้องรอประกาศจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ถึงรายละเอียดเกณฑ์การออกกองทุนใหม่ เช่น กองทุน SSF จะต้องจ่ายเงินปันผลหรือไม่ เป็นต้น โดยคาดว่ากระบวนการต่างๆ จะแล้วเสร็จและจะเห็นกองทุน SSF เปิดขายได้ในช่วงเดือน ก.พ. หรือเดือน มี.ค.63

ขณะที่หลักเกณฑ์ของกองทุน SSF ที่เปิดกว้างให้ลงทุนสามารถลงทุนได้ในทุกสินทรัพย์หรือไม่มีข้อจำกัดด้านนโยบายการลงทุนเพื่อนำไปลดหย่อนภาษี ดังนั้น กองทุนเดิมที่ บลจ.เปิดขายอยู่แล้วก็สามารถนำมาขายได้เช่นกัน เพียงแต่จะต้องมีวิธีควบคุมที่ให้นักลงทุนถือจนครบอายุ 10 ปี รวมถึงต้องมีระบบเพื่อรองรับการเชื่อมต่อกับสรรพากรต่อไป

“รูปแบบกองทุนตอนนี้ยังยากที่จะประเมินว่านักลงทุนอยากจะลงทุนอะไร เพราะพอเปิดกว้างแล้วก็สามารถลงทุนได้ตั้งแต่ตราสารหนี้ไปจนถึงหุ้น แต่ในส่วนของ บลจ.กสิกรไทยเรามองกองทุนที่กระจายลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท (Multi-asset) ไว้เป็นกองทุน SSF เพราะนักลงทุนมีทางเลือกมากขึ้น เราก็ต้องเตรียมกองทุนแบบกว้างๆ ไว้ก่อน รวมถึงตอนนี้สภาวะแวดล้อมของตลาดไม่ค่อยสดใสมากนัก ดังนั้น เป็นไปได้ว่านักลงทุนจะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างตราสารหนี้มากขึ้น” นายวศินกล่าว

ด้านผลตอบแทนที่ได้จากกองทุน SSF จะขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุน ซึ่งในอดีตการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (กองทุน LTF) กำหนดให้ลงทุนในหุ้น 65% ดังนั้น ด้วยระยะเวลาการลงทุนที่เป็นระยะยาว รวมถึงข้อกำหนดที่ให้ลงทุนในหุ้นส่งผลให้ผลตอบแทนที่ได้จากกองทุน LTF มักจะไม่ขาดทุน ขณะที่เม็ดเงิน 4-5 หมื่นล้านบาท ที่ปกติจะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นคาดว่าจะลดลงในปีหน้า เนื่องจากกองทุน SSF จับตลาดไม่กว้างเท่ากองทุน LTF (วงเงินลดหย่อนภาษีและอัตราสูงสุดในการลดหย่อนภาษี) รวมถึงเกณฑ์ที่ส่งผลให้เกิดการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่หลากหลายมากขึ้นทั้งตราสารหนี้ ตราสารทุน ตราสารต่างประเทศ ฯลฯ จะส่งผลให้เม็ดเงินที่เข้ามาในตลาดหุ้นลดลง

นายวศินกล่าวว่า กองทุน LTF ที่จะสิ้นสุดสิทธิลดหย่อนทางภาษีในปีหน้า หากมีการเปิดรับเงินลงทุนใหม่เพิ่มก็จะเปรียบเมือนกองทุนเปิดทั่วไป โดยบลจ.บางแห่งมีแผนจะหยุดรับเงินใหม่และจะดำเนินงานให้ครบตามอายุที่ผู้ลงทุนต้องถือครองเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ย้ำว่าการหยุดรับเงินใหม่แต่ไม่ใช่การปิดกองทุน ในส่วนของบลจ.กสิกรไทยมีทั้งกองทุนที่อยากหยุดรับเงิน เช่น กองทุน SET50 และ SET50LTF ที่มีนโยบายลงทุนเหมือนกันอาจจะหยุดรับเงินในกองทุน SET50LTF เป็นต้น ในส่วนของกองทุน LTF ที่จะเปิดขายต่อในอนาคตจะต้องสื่อสารให้นักลงทุนเข้าใจเป็นวงกว้างว่าจะไม่ได้รับสิทธิทางภาษีหากลงทุนเพิ่ม ซึ่งอาจระบุไว้ด้านท้ายของชื่อกองทุนเพิ่มว่าเป็นกองทุน LTF ที่ไม่ได้รับสิทธิทางภาษีสำหรับผู้ลงทุนใหม่

“ด้วยเกณฑ์ใหม่ที่ลงทุนในอะไรก็ได้ ผมเชื่อว่าหลายๆ บลจ.มีกองทุนที่มีความหลากหลายอยู่แล้ว ดังนั้น เป็นไปได้ว่าบลจ.เหล่านั้นจะแยกกองทุนออกมาอีกกิ่งหนึ่งเพื่อให้ลงทุนตามหลักเกณฑ์กองทุน SSF หรือหากแบ่งชนิดหน่วยลงทุน (Share Class) กับกองทุนเดิมก็จะดี” นายวศินกล่าว