ค่าเงินบาท-ลงทุนหนืด “สมคิด” เร่งเศรษฐกิจ 2 ขา เข็นแบงก์ชาติ ติดเครื่องยนต์เพิ่ม

Side-effect จากรัฐบาลผสม 18 พรรค 3 ทีมเศรษฐกิจ 3 รองนายกรัฐมนตรี ที่มี “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” จาก 3 พรรคการเมือง เศรษฐกิจไทยขณะนี้จึงเปรียบได้กับ “เศรษฐกิจสามก๊ก” ต่างคนต่างทำ

ไม่แปลกที่ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี ถึงกับตัดพ้อ ว่า การขับเคลื่อนขณะนี้มีเพียง “เศรษฐกิจขาเดียว” เพราะสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 1 ในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นายสมคิด คือ “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ”

“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องงบประมาณปี 63 ล่าช้า แต่ปัญหาอยู่ที่การบริหารจัดการของรัฐบาลหลังจากนี้จะทำอย่างไร นโยบายประกันรายได้ ประกันราคาสินค้าเกษตรยังทำต่อไปหรือไม่ รถไฟฟ้าสายสีส้มจะเดินหน้าต่ออย่างไร”

“ที่เคยบอกว่าเศรษฐกิจ 3 ขาถูกต้องแล้ว แต่ประเทศต้องร่วมกันขับเคลื่อน เพราะแนวโน้มปัจจัยต่าง ๆ ยังมีความไม่แน่นอนสูง”

“สมคิด” ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี กำกับกระทรวงการคลัง ที่มี “อุตตม สาวนายน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็น “มือไม้” จึงเหลือ “นโยบายการคลัง” เป็น “เครื่องมือเดียว” ที่ใช้ในการประคับประคองเศรษฐกิจ

“เศรษฐกิจไม่ได้แย่อย่างที่คิด ขึ้นอยู่กับเครื่องไม้เครื่องมือทำไม่ได้เต็มที่ ความติดขัดเชิงนโยบาย นโยบายการเงิน ที่สำคัญ คือ อัตราแลกเปลี่ยนและนโยบายการคลังต้องไปด้วยกัน เพื่อกำจัดข้อจำกัดเชิงนโยบาย และการความเป็นเอกภาพและพลังในการขับเคลื่อน”

“ตอนนี้เครื่องมือทางนโยบายการคลัง เชิงกระตุ้นเศรษฐกิจแทบจะเต็มแล้ว ทั้งยังมีเรื่อง พ.ร.บ.วินัยการคลัง พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง เป็นข้อจำกัด เหลือพียงนโยบายการเงิน คือ อัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาท รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องได้อยู่แล้ว เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นอิสระ แต่ถ้าขับเคลื่อนไปด้วยกันได้จะทำให้เกิดการเจริญเติบโต”

“ถ้าค่าเงินบาทแข็งหนักก็ต้องมีวิธีการทำให้อ่อนค่าลง จะด้วยวิธีการอะไรก็แล้วแต่ ผมไม่ก้าวก่าย แต่ต้องหาทางให้อ่อนค่าลง เพื่อนำไปสู่ระดับที่สามารถทำให้เงินบาทมีค่ามากขึ้น เช่น การส่งออกสินค้าเกษตร”

“ธปท.มีเครื่องมืออยู่แล้ว โดยใช้นโยบายการเงิน เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเสริมนโยบายการคลัง กระทรวงการคลับกับ ธปท.ต้องหารือกันมากกว่านี้ เพราะขณะนี้การส่งออกภาคเกษตรก็แย่ลง ภาคท่องเที่ยว สุดท้ายส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และกระทบต่อรายได้ของรัฐบาล”

เป็นการใช้ออกแรงของนายสมคิดอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้าที่เรียก “ดร.ก้อ” วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ มากล่อม ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อต้องคณะกรรมการร่วมระหว่างกระทรวงการคลัง-ธปท. แต่ “ไม่เป็นผล”

“สมคิด” เห็นด้วยกับคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1.25% เพราะถึงแม้อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงกว่านี้ก็ไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ ไม่ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นการลงทุน

“สมคิด” เปรียบทีมเศรษฐกิจขณะนี้เหมือนกับ “ทีมฟุตบอล” ต้องเล่นกันเป็น “ทีมเวิร์ก” ทั้งเรื่องการสานต่อการเข้าร่วม CPTPP การทำ FTA ไทย-EU เรื่องประมง ไอยูยูจะกลับไปให้ใบเหลืองอีกครั้ง และโครงการรถไฟฟ้าสายส้มส้ม

“การขับเคลื่อนต้องมีพลัง สำคัญที่สุด ถ้ามีพลัง ความเชื่อมั่นของประชาชนก็จะเกิดเอง เพราะฉะนั้นต้องร่วมมืออย่างใกล้ชิดทุกฝ่าย เหมือนทีมเวิร์ก”

“สมคิด” ยอมรับว่าโครงการต่าง ๆ ที่ขับเคลื่อนขณะนี้รัฐบาลเหมือน “กินบุญเก่า” ทั้งโครงการรถไฟฟ้า 10 เส้นทาง โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงโอกาสจาก “สงครามการค้า”

ส่วนการเร่งรัดการเบิกจ่ายลงทุนของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เฉพาะเครือ ปตท. “สมคิด” ล้างท่อไปแล้ว 7 หมื่นล้านบาท จากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทั้งหมดที่ต้องเร่งเบิกจ่ายภายในเดือนธันวาคม 2562 จำนวน 1.2 แสนล้านบาท

“สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้เดินทางไปพบนักลงทุนไต้หวันและมีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยอย่างน้อย 10 ราย อาทิ กลุ่มสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการดึงดูดนักลงทุนจากฮ่องกงและจีน”

โดยในปี 63 รัฐบาลจะออกแพ็กเกจเพื่อ “คนตัวเล็ก” เช่น สตาร์ตอัพ ครอบคลุมเซกเตอร์ เกษตร อุตสาหกรรม ท่องเที่ยวและบริการ และได้ให้การบ้านคณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้แก่ หอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย บีโอไอ เพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมบอร์ดบีโอไออนุมัติเป็นแพ็กเกจต่อไป

รวมถึงกระทรวงการคลัง เช่น บรรษัทสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อแก้ปัญหาภาระเดิม โดยกองทุนเพื่อคนตัวเล็ก เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และทำออกมาพร้อมกันเป็นแพ็กเกจ

“คอนเซ็ปต์ คือ เพื่อส่งเสริมด้านเกษตร อุตสาหกรรม ท่องเที่ยวและบริการสำหรับคนตัวเล็กตั้งแต่ต้นจนถึงปลายจะประกอบด้วยอะไรบ้าง โดยเฉพาะการไปลงทุนชุมชน”

รอพิสูจน์ฝีมือ พล.อ.ประยุทธ์-หัวหน้าเศรษฐกิจแต่เพียงผู้เดียว ว่าจะเอาอยู่หรือไม่