คอลัมน์ เติมความคิดพิชิตลงทุน
โดย เอกภาวิน สุนทราภิชาติ บล.ไทยพาณิชย์
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- ราคาทองวันนี้ (17 เม.ย. 67) ปรับ 8 ครั้ง ขึ้น 450 บาท รูปพรรณบาทละ 42,150 บาท
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2562 ขณะที่ตลาดหุ้นบ้านเรายังปรับตัวลงต่อเนื่อง หลังหลุดระดับ 1,600 จุดลงมา ทำให้คอลัมน์ในฉบับนี้ผมจึงถือโอกาสวิเคราะห์แนวโน้มตลาดหุ้นในปี 2563 ซึ่งก่อนอื่นต้องบอกว่าแนวโน้มตลาดยังผันผวนเหมือนในปีนี้ กล่าวคือ มีทั้งช่วงเวลาที่ดีและไม่ดี โดยช่วงเวลาที่ดีคาดว่าจะเป็นช่วงครึ่งแรกของปี เนื่องจากคาดว่าตลาดหุ้นบ้านเราจะกลับมาฟื้นตัวได้ดีด้วยปัจจัยหนุนจาก
1) เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัว ด้วยแนวโน้มสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ผ่อนคลายลง หลังมีการบรรลุข้อตกลงทางการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก จะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางหลายแห่งเช่นเดียวกัน
2) เสถียรภาพทางเศรษฐกิจไทยมีทิศทางดีขึ้น จากฐานต่ำของมูลค่าสินค้าส่งออก, การใช้จ่ายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ, การลงทุนภาครัฐที่เร่งตัวขึ้น, สินค้าคงคลังที่มีการหดตัวลงใน 3Q19 ทำให้มีโอกาสที่ผู้ผลิตจะเร่งการผลิตมากขึ้น
3) การปรับลดประมาณการกำไรจบลงแล้ว และจะเริ่มต้นปี 2020 ด้วยการคาดการณ์ระดับต่ำ ทำให้ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงทางลง (downside risk) ที่ค่อนข้างจำกัด ส่งผลให้ดัชนีจะกลับมาปรับตัวขึ้นได้
โดยผมมองเป้าหมาย SET ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 จะอยู่ที่ประมาณ 1,650-1,680 จุด โดยกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ สำหรับการซื้อในช่วงนี้ เพื่อรอขายทำกำไรในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 หุ้นแนะนำประจำไตรมาสแรกของ SCBS ที่คาดว่าหุ้นวัฏจักรซึ่งปัจจุบันมี valuation ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี มีโอกาส outperform ตามทิศทางเศรษฐกิจที่จะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสแรกของปี ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนประจำไตรมาสของ SCBS ได้มุ่งไปที่หุ้น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
1) หุ้น global play ที่แนวโน้มกำไรมีทิศทางฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก
2) หุ้นที่มี valuation น่าสนใจและมีโอกาสสูงที่จะถูกปรับประมาณการกำไรขึ้น
3) หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวหนุนและมีศักยภาพเติบโตในปี 2563
โดยหุ้นที่ SCBS แนะนำ ประกอบด้วย
กลุ่มปิโตรเคมี คือ บมจ.อินโดรามาเวนเจอร์ส (IVL), กลุ่มโรงกลั่น คือ บมจ.ไทยออยล์ (TOP), กลุ่มธนาคาร คือ บมจ.ทุนธนชาต (TCAP) และ บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL), กลุ่มการแพทย์ คือ บมจ.บางกอกเชน ฮอสปิทอล (BCH)
มาถึงช่วงที่ไม่ค่อยจะน่าลงทุนสำหรับตลาดหุ้นในปีหน้ากันบ้างนะครับ ซึ่งผมมองว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลก
มี 3 ปัจจัยความเสี่ยงที่ SCBS กังวล ซึ่งอาจจะกระทบภาพการลงทุนได้ คือ
1) การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ อาจทำให้สงครามการค้าทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ต้องการทำให้ตนดูอ่อนแอก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งจะมีขึ้นในเดือน พ.ย. 2563
2) นโยบายการเงินแบบตึงตัวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เนื่องจากตลาดคาดหวังว่าปีหน้าเฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น หากเฟดไม่ดำเนินนโยบายผ่อนคลายตามที่ตลาดคาด อาจเป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
3) เฝ้าระวังการผิดนัดชำระหุ้นกู้ในประเทศจีน เนื่องจากในปี 2563 มีการครบกำหนดชำระคืนหุ้นกู้จีนจำนวนมาก หากมีการผิดนัดชำระคืนเกิดขึ้น จะส่งผลกระทบทางลบต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจของจีนทำให้ปัจจัยลบดังกล่าวที่มีโอกาสเกิดขึ้น จะเป็นปัจจัยกดดันดัชนีให้ปรับตัวลงมา ซึ่งผมมองว่า SET มีโอกาสปรับตัวลงมาหาบริเวณ 1,600 และ 1,500 จุดตามลำดับ
อีกครั้งสรุปภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นบ้านเราดูยังไม่สดใสนักในปี 2563 หรือการเคลื่อนไหวจะคล้ายกับในปี 2562 เลยก็ว่าได้ โดยเริ่มต้นปีเป็นการปรับตัวขึ้น แต่ไม่ได้นาน และพอถึงในช่วงครึ่งปีหลังกลับปรับตัวลง
สุดท้ายนี้เนื่องจากคอลัมน์ฉบับนี้เป็นคอลัมน์สุดท้ายในปี 2562 ของผมแล้ว จึงถือโอกาสสวัสดีปีใหม่ปี 2563 ล่วงหน้า ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ช่วยให้ผู้อ่านทุกท่าน พบเจอแต่สิ่งดี ๆ ในปีหน้า สิ่งใดไม่ดีให้ทิ้งไว้ในปีนี้ คิดสิ่งใดสมปรารถนา สุขภาพร่างกายแข็งแรง พอร์ตการลงทุนแข็งแรง ทุกสภาวะตลาด ร่ำรวย ๆ มีกำไรกันทุก ๆ ท่านนะครับ
และพบกันใหม่ในฉบับหน้า…ด้วยรักและหวังดี