โบรกชี้ช่องเก็งกำไร “หุ้นพลังงาน” สถานการณ์ “สหรัฐ-อิหร่าน” ปัจจัยบวกระยะสั้น

โบรกชี้ช่องเก็งกำไรหุ้นพลังงานรับอานิสงส์ความขัดแย้ง “สหรัฐ-อิหร่าน” โบรกฯชี้ผลกระทบระยะสั้น “บล.ยูโอบีฯ” เปิด 4 หุ้นเด่น “PTT-PTTEP-TOP-SPRC” รับปัจจัยบวกราคาน้ำมันดิบพุ่งหนุนนักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไร ฝั่ง “บล.เอเซีย พลัส” แนะนำหาจังหวะเข้าซื้อ “PTT-PTTEP”

นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและอิหร่าน คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน เนื่องจากอิหร่านเป็นผู้ควบคุมเส้นทางการขนส่งน้ำมันที่สำคัญของโลกผ่านช่องแคบฮอร์มุซ จึงมีความเสี่ยงที่อิหร่านอาจปิดกั้นเส้นทางขนส่งดังกล่าว รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งจะส่งผลกระทบต่อการผลิต (supply) น้ำมันที่มาจากทางตะวันออกกลาง และจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นปรับตัวสูงขึ้นต่อไป

ทั้งนี้ ตลาดประเมินว่าราคาน้ำมันดิบปี 2563 จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 55-65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยฝ่ายวิจัย บล.ยูโอบีฯมองว่าราคาน้ำมันดิบมีโอกาสปรับขึ้นเหนือแนวต้านที่ประเมินเอาไว้ในช่วงสั้น และจะทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานได้รับแรงเก็งกำไรในเชิงบวก “หุ้นเด่นแนะนำในกลุ่มพลังงาน ได้แก่ กลุ่มโรงกลั่น บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ราคาเป้าหมาย 81.00 บาท และ บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) 14.00 บาท ส่วนกลุ่มพลังงานต้นน้ำ แนะนำ บมจ.ปตท. (PTT) 58.00 บาท และ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) 175.00 บาท” นายกิจพลกล่าว

โดยตัวเลขประมาณการกำไรของหุ้นในกลุ่มพลังงานของ บล.ยูโอบีฯ อิงสมมุติฐานราคาน้ำมันดิบเบรนต์ (Brent) ที่ 65 เหรียญ/บาร์เรล (ดูตาราง) แม้ราคาน้ำมันดิบที่ปรับสูงขึ้นเกินกว่าประมาณการ แต่เชื่อว่าปัจจัยหนุนที่เกิดขึ้นเป็นระยะสั้นเท่านั้น จึงไม่นับรวมปัจจัยดังกล่าวเข้ากับประมาณการกำไร

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากสถานการณ์ความขัดแย้งอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อหุ้นกลุ่มโรงกลั่นที่มีความต้องการใช้น้ำมันจากตะวันออกกลางประมาณ 60-65% แม้โรงกลั่นสามารถปรับเพิ่มหรือลดปริมาณน้ำมันที่ต้องใช้งาน เช่น หันไปซื้อน้ำมันจากแหล่งอื่นมากขึ้น เป็นต้น แต่การปรับสัดส่วนแหล่งที่มาของน้ำมันจะส่งผลให้ผลลัพธ์ของผลผลิตที่ได้มีความแตกต่างจากผลผลิตเดิม

“ในเชิงจิตวิทยาตลาดจะให้น้ำหนักกับเรื่องของราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นมาเป็นผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน อย่างไรก็ตาม เราอยากให้นักลงทุนระมัดระวัง แม้ว่าเราจะมองหุ้นกลุ่มโรงกลั่นดีมากในปีนี้ แต่ว่าปัจจัยความกังวลดังกล่าวในระยะสั้นจะเป็นปัจจัยลบที่อาจกระทบให้เกิดแรงทำกำไรในหุ้นกลุ่มโรงกลั่นได้” นายกิจพลกล่าว

นอกจากนี้ ปัจจัยความเสี่ยงระหว่างประเทศจะส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงในช่วงสั้นเผชิญแรงขายทำกำไรและเกิดการปรับฐานในช่วงสั้น อย่างไรก็ตาม บล.ยูโอบีฯให้น้ำหนักกับทิศทางการฟื้นตัวของตัวเลขเศรษฐกิจโลกที่กำลังดำเนินอยู่ ดังนั้น การปรับฐานที่จะช่วยลดความร้อนแรงของตลาดหุ้นมองว่าเป็นโอกาสเข้าซื้อที่ดี โดยหุ้นกลุ่มที่เด่นที่สุดยังเป็นหุ้นพลังงานและโรงกลั่นที่อิงกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

นายกิจพล กล่าวด้วยว่า สำหรับกำไรงวดไตรมาส 4/62 ของหุ้นในกลุ่มพลังงาน พบว่ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) โดยมีสาเหตุมาจากไตรมาส 3/62 ราคาน้ำมันดิบมีทิศทางปรับลดลง ส่งผลให้หุ้นพลังงานขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน (stock loss) ขณะที่ไตรมาส 4/62 ผลการดำเนินงานโดยรวมของกลุ่มดีขึ้น และทิศทางราคาน้ำมันมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นเช่นกัน ดังนั้น คาดว่าไตรมาส 4/62 กลุ่มพลังงานมีโอกาสทำกำไรจากสต๊อกน้ำมัน (stock gain) หรือหากขาดทุนก็ขาดทุนในระดับไม่สูง

“กำไรหุ้นกลุ่มพลังงานเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) จากราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน จึงเชื่อว่าไตรมาส 4/62 และไตรมาส 4/61 ทิศทางผลประกอบการจะไม่แตกต่างกันมากนัก” นายกิจพลกล่าว

ขณะที่นางสาวนลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า จากสถานการณ์ความขัดแย้งที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น บล.เอเซีย พลัส จึงแนะนำหาจังหวะเข้าลงทุนในกลุ่มพลังงาน ได้แก่ PTT ที่ราคาเหมาะสมปี 2563 ที่ 56.00 บาท และ PTTEP ราคาเหมาะสมสิ้นปี 2563 รวมโครงการในมือระยะยาวที่ 170.00 บาท


ส่วนแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/62 ในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี คาดว่าจะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/62 เนื่องจากราคาน้ำมันปรับลดลงส่งผลให้เกิด stock loss เล็กน้อย รวมถึงส่วนต่างระหว่างราคาซื้อกับราคาขาย (spread) ที่ไม่ได้สูงมากนัก